“ปวดเอวว” อวี่เยียนร้องโอดครวญ ทุบมือเข้าที่หลัง เอวและสะโพกซ้ายขวาของตน สายตามองค้อนบุรุษที่นั่งกินข้าวอย่างหน้าชื่นตาบาน
“รัดข้าเสียแน่น กระดูกแทบหัก”
“คืนนี้ขอแก้ตัวได้หรือไม่”
“เจ้า! ชักจะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว”
มู่เหวินจิ้งแสร้งทำหน้านิ่ง ทว่าในใจกลับเป็นสุขยิ่งนัก ดูเหมือนว่าอวี่เยียนจะลืมความกลัวที่มีต่อเขาไปหมดแล้ว นางเอาแต่บ่นเขาไม่หยุด หาว่าเขาจงใจกลั่นแกล้งนาง เป็นผู้ชายกะล่อนนิสัยเสีย
ซึ่งมู่เหวินจิ้งทำเพียงยิ้มตอบกลับ ไม่เถียงอวี่เยียนสักคำ ทำหญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้นไปอีก
“ข้าจะไปตลาด”
“ข้าไปด้วย”
“ไม่ต้อง!”
“ขอไปด้วย”
“มู่เหวินจิ้ง ไหนเจ้าสัญญาจะไม่กวนใจข้าอย่างไรเล่า”
มู่เหวินจิ้งนิ่งเงียบ แสร้งตีหน้าเศร้าสลด
“จะมาทำหน้าหมาง่อยอย่างไรก็ไม่ได้ผล อยู่บ้านไปนี่แหละ ไว้ตาเจ้ากลับมามองเห็นเมื่อไรค่อยว่ากัน”
หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันที “หรือเจ้าอายที่จะไปไหนมาไหนกับข้างั้นหรือ อายที่...อาศัยอยู่กับชายพิการใช่หรือไม่”
“ห่ะ พูดอะไรของเจ้า ทำไมข้าต้อง-”
“ข้ามันก็แค่ชายตาบอดสินะ เจ้าจะดูแคลนข้าก็หาใช่เรื่องแปลก เช่นนั้นก็ควรปล่อยให้ข้าตายๆ ไปสิ ไม่เห็นจำเป็นต้องลำบอกหาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้ ข้าเป็นคนจนไร้ค่า ไม่มีทรัพย์สินเงินทองตอบแทนเจ้าหรอก”
อวี่เยียนกะพริบตาถี่ งุนงงว่ามู่เหวินจิ้งเป็นบ้าหรือไร หรือเพราะตาบอดเลยพาลให้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสียแล้ว
“ข้าช่วยเจ้าหาหวังในทรัพย์สิน ช่วยเพราะเห็นเจ้ากำลังลำบาก ช่วยเพราะเห็นแก่ความเป็นมนุษย์เหมือนกัน หากวันนั้นข้าพบเพียงร่างไร้วิณญาณของเจ้า ข้าก็ไม่นิ่งดูดาย จะจัดการฝังเจ้าให้เป็นอย่างดี”
คำพูดที่คล้ายจะหวังดีแต่แฝงความประชดประชันไว้นั้นทำมู่เหวินจิ้งตะลึงมิใช่น้อย ก่อนเสียงปิดประตูจะดังเรียกสติคืนแก่เขา
มู่เหวินจิ้งนั่งนิ่งอยู่สักครู่ มุมปากโค้งยิ้มน้อยๆ จากนั้นเดินคลำทางไปที่ประตู ก้าวเดินออกมาช้าๆ คลำกำแพงไปเจอด้ามไม้กวาดที่ทำจากลำต้นไผ่ซึ่งอวี่เยียนใช้กวาดลานเรือนวางพิงไว้
มู่เหวินจิ้งคว้าด้ามไม้กวาดไว้ จากนั้นจึงรีบออกเดินตามร่างบางไป จมูกทำท่าดมกลิ่นสลับกับหยุดถามทางชาวบ้านเป็นระยะ
ทางด้านอวี่เยียนที่ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกสะกดรอยตาม นางเดินตรงที่ไปในตลาดเหมือนอย่างเคย สอดสายตามองหาเนื้อราคาถูกหรือเนื้อหน้าตาแปลกที่พอจะกินได้ ก่อนตัดสินใจซื้อเนื้อไก่มานิดหน่อย
“ข้าวสารใกล้หมดแล้ว ต้องซื้อข้าวด้วยสินะ”
ทว่าขณะกำลังนับเงินที่เหลืออยู่นั้น เสียงพูดคุยของชาวบ้านที่เดินสวนมากลับทำใจหญิงสาวกระตุกวูบอย่างแรง
“หมอเทวดาแท้ๆ ถึงค่ารักษาจะแพงไปสักหน่อยแต่ได้ผลชะงัดนัก”
“จริงของเจ้า รักษาได้อย่างกับมีปาฏิหาริย์”
อวี่เยียนตาเบิกกว้างทันที สองเท้าก้าวยาวๆ ไปทางต้นไม้ใหญ่ที่ตนจำได้ อวี่เยียนเห็นชายแก่ท่าทางเจ้าเล่ห์นั่งกอดอกอยู่ใต้ต้นไม้นั้น ด้านหน้าเป็นโต๊ะไม้ตัวใหญ่ มีสมุนไพรหลายชนิดวางเรียงรายพร้อมป้ายบอกราคาที่สูงลิบลิ่ว
“ทะ...ท่านใช่ หมอเทวดาที่...ที่ชาวบ้านพูดถึง...ใช่หรือไม่” อวี่เยียนเอ่ยถามพลางหอบหายใจ
“ใช่ ข้านี่แหละหมอเทวดาผู้เลื่องชื่อ” ชายแก่เยินยอตัวเอง พลางยกมือขึ้นลูบเคราอย่างภาคภูมิ “แม่นางมีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือ”
อวี่เยียนดึงเก้าอี้ใต้โต๊ะออกมานั่งพักเหนื่อย ก่อนเอ่ยตอบ “ข้ารู้ว่าท่านเป็นท่านหมอยอดฝีมือ รักษาคนป่วยมาหนักต่อหนัก เป็นเลิศด้านการแพทย์ทั้งยังรอบรู้เรื่องสมุนไพร เป็นท่านหมอทรงคุณค่าที่สุดในใต้หล้า”
“เอาละๆ หยุดประจบสอพลอ ถึงเจ้าจะปากหวานแค่ไหนแต่ข้าจะไม่ลดราคายาให้เจ้าหรอกนะ”
ตาแก่ขี้งก!
อวี่เยียนสบถอยู่ในใจ กระแอมก่อนเริ่มพูดเข้าเรื่อง “ข้าอยากจะให้ท่านช่วยรักษาคนคนหนึ่งให้หน่อย”
“สามีหรือ”
“ไม่ใช่! เป็นสหายคนหนึ่งของข้า”
“นี่แม่นาง เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยกับคู่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงาน แม้เจ้าจะสวยหยาดเยิ้มแต่หากช่วงล่างมันอ่อนแอ-”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น!” อวี่เยียนหน้าแดงรีบยกมือห้ามเขาพูดต่อ “สหายข้าประสบอุบัติเหตุทำให้ตาบอดทั้งสองข้าง ข้ารู้ว่าท่านมีสมุนไพรที่พอจะช่วยรักษาเขาได้”
“เพ้ย! ตาบอดหรือ ตาบอด ตาบอด ไม่ๆ ข้าไม่รับรักษาคนพิการหรอก”
“ไม่รับได้อย่างไร ท่านเป็นหมอ ปฏิเสธคนป่วยแบบนี้ได้หรือ”
“ถ้าเป็นคนป่วยปกติข้ายินดีรักษา แต่นี่...ไม่เอาละ ข้าไม่อยากยุ่ง หากเกิดไม่หายขึ้นมาก็เสียชื่อหมอเทวดาอย่างข้าแย่”
“เช่นนั้นข้าขอซื้อสมุนไพรก็ได้ ที่มีกลิ่นฉุนเป็นเอกลักษณ์ ใบเรียวแหลมออกผลสีแดงสดน่ะ”
“ไอ้หยา! นี่เจ้ารู้จักไล้ซื่อด้วยหรือ”
“พูดอย่างนี้แสดงว่ามี ไหนขอดูหน่อย”
ชายแก่ผวารีบหันไปกอดถุงใส่สมุนไพรไว้แน่น “จะมาขอกันง่ายๆ ได้อย่างไร สมุนไพรหายากราคาแพง ขนาดขุนนางน้อยใหญ่ยังไม่มีปัญญาซื้อ เจ้าเป็นเพียงหญิงชาวบ้าน จะมีปัญญาซื้อหรือไง”
อวี่เยียนนิ่งชะงักไป จริงสิ นางไม่มีเงินนี่น่า ถ้าอิงตามท้องเรื่องอวี่เยียนอ้อนวอนขอซื้อสมุนไพรล้ำค่าจากหมอเทวดาผู้นี้ กระทั่งยอมแลกทุกอย่างในชีวิตนาง
“หากไม่มีเงิน ข้าขอเป็นกระดูกขาหรือกระดูกข้อเท้าของเจ้าก็ได้”
อวี่เยียนสะดุ้งตามข้อเสนอของชายแก่ เขายื่นหน้ามาใกล้นาง ยิ้มกรุ่มกริ่ม พร้อมสายตาแฝงเล่ห์นัย
“เขาคนนั้นสำคัญกับเจ้าถึงขนาดยอมเสียสละสิ่งสำคัญหรือไม่เล่า”
อวี่เยียนมองสบตากับนัยน์ตาดำที่มีก้อนสีขาวขุ่นอยู่ตรงกลางคล้ายต้อกระจก มุมปากเหยียดยิ้มพร้อมตะโกนตอบเสียงดัง “กะอีแค่กระดูกไม่กี่ชิ้น! กลัวที่ไหนเล่า”
ไม่ใช่แค่ชายชราที่นิ่งอึ้งกับความใจถึงของอวี่เยียน บุรุษอีกคนที่ยืนแอบอยู่ไม่ไกลก็ตกใจไม่ต่างกัน
นางจะยอมแลกกระดูกของตัวเองเพื่อข้า!?
หัวใจมู่เหวินจิ้งเต้นแรง เขาในตอนนี้ทั้งตกใจและประหลาดใจในคราวเดียว พยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่ต่อ
“ตอบฉะฉานไม่ลังเลเช่นนี้ ท่าทางเจ้าจะรักสหายผู้นี้มากสินะ”
อวี่เยียนกลอกตา นี่คิดจะจับคู่นางกับมู่เหวินจิ้งให้ได้เลยสินะ “ใช่ รักมาก พอใจหรือไม่”
อวี่เยียนไม่อยากฟังคำล้อที่ว่าตนปากแข็ง รักแต่ไม่แสดงออกจากชายแก่กวนฝ่าเท้าผู้นี่อีกจึงเลือกที่จะตอบส่งๆ ไป แต่กับอีกคนที่คิดว่าคำพูดของอวี่เยียนเป็นสิ่งที่กล่าวออกมาจากก้นบึงของหัวใจพาลให้เขาจับเอาเหตุการณ์ทั้งหมดมาผสมปนเปจนเป็นเรื่องเป็นราว
ที่แท้นางก็รักข้านี่เอง อวี่เยียน...เจ้ามีใจให้ข้าหรือนี่
“ชักช้าเสียเวลา บอกมาอยากได้กระดูกข้างไหน”
มู่เหวินจิ้งเบิกตาโพลง กำลังจะวิ่งออกไปห้ามนาง ทว่ากับถูกกลุ่มคนปริศนาโผล่มาหิ้วตัวเขาไปเสียก่อน
“เอ๊ะ! แต่อันที่จริงข้าก็มีของดี... อืม แต่น่าจะดีเกินไป ไม่เอาดีกว่า”
ชายชราเลิกคิ้วสงสัย “อะไรหรือ”
“ท่านอยากรู้หรือ อืมม เอาไงดีล่ะ” อวี่เยียนพยายามดึงเชิง สร้างความอยากรู้ให้คนตรงหน้ามากขึ้น
“เจ้าอย่าลีลาได้ไหม”
อวี่เยียนยิ้มกริ่ม ทำทีหันมองซ้ายขวาและล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบหยกคาดเอวที่มู่เหวินจิ้งเคยให้ออกมา
“หยกมรกต!”
“ชู่” อวี่เยียนยกนิ้วแตะริมฝีปาก พลางส่ายหน้าให้เบาเสียงลงหน่อย “ถือว่าท่านหมอตาหลักแหลมนัก แค่ดูก็รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าหยกชิ้นมีค่าแค่ไหน ทั่วทั้งเมืองหลวงจะมีตระกูลขุนนางสักกี่ตระกูลที่สามารถครอบครองของล้ำค่าเช่นนี้ได้กัน”
“ละ...แล้วเจ้าไปเอามันมาได้อย่างไร”
“อันที่จริง นี่เป็นความลับสุดยอด ท่านต้องสัญญาว่าจะเหยียบไว้ให้มิดเลยนะ”
“แน่นอนๆ เหยียบมิด เหยียบสนิท”
“ตัวจริงข้าคือองค์หญิง”
กริบ~
ราวกับได้ยินเสียงนกร้องเหนือหัว ชายชรากะพริบตาถี่ก่อนขำพรืดออกมา “ตลก! โกหกอะไรก็ให้มันน่าเชื่อหน่อยเถิด ปัญญานิ่มโดยแท้”
“เอ้า ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ งั้นหยกชิ้นนี้...” อวี่เยียนทำท่าจะเก็บหยกเข้าอกเสื้อ ทว่าชายชรารีบยื่นมือมาตะครุบไว้ทัน
“ใจเย็นก่อนสิ แม้ข้าไม่เชื่อเรื่องเจ้าเป็นองค์หญิง แต่หยกชิ้นนี้...อืม”
กระดูกคนนับเป็นของดีที่สามารถนำมาปรุงยาโบราณได้หลายชนิด หากไม่มีคนนำมาแลกเปลี่ยน ชายแก่ก็ต้องดั้นด้นไปขุดเองยังสุสานร้างท้ายวัด ทว่าคุณภาพของกระดูกศพกับกระดูกมนุษย์ที่ยังเป็นๆ ช่างแตกต่างกันนัก ของสดใหม่สิถึงจะดีที่สุด
แต่ว่าหยกงามนี้ก็ใช่ว่าจะได้พบเจอบ่อยๆ เสียเมื่อไร แม้เขาจะได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดาแต่ก็ทำได้เพียงรักษาโรคเล็กๆ น้อยๆ สมุนไพรหรือก็หาอ่านเอาจากตำราการแพทย์ที่บรรพบุรุษซึ่งเคยประกอบอาชีพหมอยาในอดีตทิ้งไว้ให้
ไอ้ข่าวที่บอกว่าชายแก่เป็นหมอจากสวรรค์ เก่งกาจอะไรนั่น เป็นเรื่องที่เขากุขึ้นมาเพื่อโก่งราคาค่ายาและค่ารักษาเท่านั้น
“กระดูกน่ะใครๆ ก็มี ไม่จำเป็นต้องเอาเฉพาะเจาะจงที่ข้าก็ได้ แต่กับหยกที่มีเพียงไม่กี่ชิ้นบนโลก...” อวี่เยียนกล่าวเสียงเจ้าเล่ห์พลางแสร้งมองไปทางอื่น “ไม่รู้สิ ข้าแล้วแต่ท่านแล้วกันนะ”
ชายแก่กลอกตาซ้ายขวา คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นคล้ายใช้ความคิดอย่างหนัก แต่แล้วเขาก็ทุบมือลงกับโต๊ะ ก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ “ข้าขอรับหยกชิ้นนี้!”
อวี่เยียนฮัมเพลงอารมณ์ดีตลอดทาง อะไรมันจะง่ายดายปานนี้หนอ ในที่สุดนางก็หาวิธีพาตัวเองให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ตามท้องเรื่องได้แล้ว
แม้ความจริงอวี่เยียนอยากจะเก็บหยกนั้นไว้ขายเพื่อหาเงินทุนตั้งตัวในอนาคตก็เถอะ แต่มันก็คุ้มหากต้องแลกกับการที่นางไม่ต้องเสียกระดูกของตนไป
ในนิยายอวี่เยียนแลกกระดูกข้อเท้ากับสมุนไพรเพื่อรักษาดวงตาของมู่เหวินจิ้ง ทำให้นางกลายเป็นสตรีพิการเดินขาลากไปทั้งชีวิต โดยที่มู่เหวินจิ้งไม่เคยได้ล่วงรู้ถึงการเสียสละของอวี่เยียนเลย บุรุษคิดว่าสตรีพิการมาแต่กำเนิด อีกทั้งอวี่เยียนก็มิได้อธิบาย คงคิดว่าหากบอกออกไปจะเหมือนเป็นการทวงบุญคุณเขากระมัง
อวี่เยียนสูดหายใจโล่งอกที่ตนเองไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับนางเอก หญิงสาวเดินมาหยุดที่หน้าประตูเรือน ทว่าขณะที่นางกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป ใจนั้นนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบชักเท้ากลับ
ตอนข้าออกไป ข้าจำได้ว่าปิดประตูและขัดไม้ไว้แล้วมิใช่หรือ?