กลางลานกว้างบนภูเขาเหนือหน้าผาสูงชัน
เพียะ!! ผลั่ก!
ร่างบางปลิวไปกระแทกต้นไม้อย่างแรง ก่อนจะร่วงลงบนพื้นจนฝุ่นตลบ
ใบหน้าที่เคยสวยงาม ดวงตาที่เคยเป็นประกาย บัดนี้กลับบิดเบี้ยวไปเพราะความเจ็บปวด
ดวงตาก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
นางเปล่งเสียงออกมาด้วยริมฝีปากเปื้อนเลือด “ท่านพ่อ”
“เจ้ายังกล้าเรียกข้าว่าพ่ออีกรึ” บุรุษร่างใหญ่โตลักษณะทรงภูมิ ท่าทางน่าเกรงขาม ถามหญิงสาวด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวเหลือประมาณ
“ข้า...” หญิงสาวจุกจนไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้ นางพยายามกลืนความเจ็บปวดที่กำลังได้รับให้ลงคอไปอย่างยากลำบาก พลางจ้องเขม็งไปยังบุคคลที่นางเรียกว่า ท่านพ่อ
ทั้งสองต่างมองสบตอบสายตากันนิ่งงัน
สายตาที่สองพ่อลูกมองกัน ฝ่ายหนึ่งมองมาที่ร่างของบุตรสาวด้วยสายตาแดงก่ำ ทั้งโกรธทั้งเสียใจ
อีกฝ่ายหนึ่งมองบุรุษผู้เป็นบิดาด้วยสายตาทั้งเจ็บปวดทั้งน้อยใจ แต่ยังคงมุ่งมั่นในจุดยืนของตนเอง
“ข้าไม่ต้องการฝึกวิชาบ้าๆนั่นอีก” หญิงสาวกล่าวเสียงรอดไรฟัน นางพยายามเก็บข่มอาการบาดเจ็บทั้งปวง
“ฮึ วิชาบ้าๆงั้นรึ” ผู้เป็นบิดายังคงคำราม
“วิชาหมื่นโลกันต์ เป็นวิชาอันดับหนึ่ง มีเพียงประมุขของสำนักเช่นข้าเท่านั้น ที่มีวิชานี้” ผู้เป็นบิดาทั้งยังเป็นประมุขของสำนักหมื่นโลกันต์กล่าวด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมต่อเนื่อง
“ข้า...หงซือกวน เจ้าแห่งยุทธภพ ประมุขสำนักหมื่นโลกันต์ บุคคลที่ใครๆต่างต้องกลัวเกรง”
“เจ้า...หงเหม่ยหลงบุตรสาวคนเดียวของข้า เจ้าควรภูมิใจและรับการฝึกวิชาอย่างฮึกเหิม...แต่เจ้า”
หงซือกวนเน้นเสียง “กล้าพูดจาไร้สาระเยี่ยงนี้ เจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่หรือไม่?”
“ข้ามั่นใจในฝีมือของตนเองยิ่งนัก” หงเหม่ยหลงกล่าวอย่างหนักแน่น ไม่มีหวั่นเกรง
“นอกจากท่านพ่อแล้ว ข้าไม่ด้อยกว่าใคร” ร่างบางพยุงตัวเองลุกขึ้น ขณะเอ่ยต่อเนื่อง
“ข้าไม่จำเป็นต้องฝึกวิชาหมื่นโลกันต์อีก” จบคำนางตวัดฝ่ามือปล่อยพลังใส่ผู้เป็นบิดาในทันที
หงซือกวนไม่มีหลบเลี่ยง เขาเพียงตั้งรับและส่งกลับอย่างฉับพลัน
สองพ่อลูก จึงผลักพลังใส่กันพัลวัน
ผ่านไปสักพัก ร่างบางของหญิงสาวก็กลิ้งคลุกฝุ่นไปหลายตลบ ด้วยฝีมือยังห่างชั้นกับผู้เป็นบิดา
“แฮ่ก แฮ่ก” หงเหม่ยหลงเหนื่อยและอ่อนแรงเต็มที
แต่สายตายังไม่ยอมจำนน
หงซือกวนรู้ดี นิสัยและแววตาเช่นนั้น นางย่อมได้ไปจากเขาผู้เป็นบิดา แต่ความใจอ่อน มองโลกในแง่ดี นางได้จากผู้เป็นมารดาอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะนิสัยเช่นนี้เขาจึงรักนางผู้เป็นภรรยาอย่างหมดใจจนได้บุตรสาวคนนี้มา
แต่ก็เพราะนิสัยเช่นนี้เช่นกัน จึงทำให้ภรรยาสุดที่รักของเขาต้องจากไปอย่างไม่หวนกลับ
และ...เพราะ...นิสัยเช่นนี้ ที่ทำให้พวกเขาพ่อลูก ต้องห้ำหั่นกัน ด้วยมุมมองที่แตกต่าง
“เพราะวิชาหมื่นโลกันต์...เพราะท่านพ่อ” หญิงสาวตะโกนด้วยแรงโทสะพร้อมปล่อยพลัง
“ท่านแม่จึงต้องตาย!”
หงซือกวนได้ยินประโยคส่งท้ายถึงกับโกรธจนตัวสั่น จึงบันดาลโทสะปล่อยพลังมหาศาลใส่บุตรสาวจนกระเด็นลอยไป
วูบ
สิ้นเสียง
ร่างบางกระเด็นหายไปต่อหน้าต่อของตาหงซือกวน
เขาพลันได้สติ “หลงเอ๋อร์...” เสียงเรียกบุตรสาวช่างเบายิ่งนัก
หงซือกวนเรียกชื่อบุตรสาวด้วยสายตาตระหนกอยู่ไม่น้อย แต่ใบหน้ายังคงดุดัน เหี้ยมเกรียม
“ท่านประมุข” ซุนตี้สมุนคนสนิทของหงซือกวน ผู้อยู่ในเหตุการณ์ทุกอย่าง เรียกสติประมุขของเขา
“เหม่ยหลง ตกหน้าผาไปแล้ว ข้าจะตามลงไป...ข้างล่างเป็นแม่น้ำ ข้ามั่นใจว่านางยังไม่ตาย”
หงซือกวนหลับตาลง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันทรงพลัง
“ไม่ต้อง!”
เขาค่อยๆลืมตามองออกไปเบื้องหน้ายามเอ่ย
“ปล่อยนางไป...” กล่าวเสร็จ หงซือกวนเพียงแต่ยืนนิ่งเงียบงันอยู่ตรงนั้น
ใบหน้าเหี้ยมเกรียมของเขายามนี้ไม่ว่าใครก็เดาไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน สมุนของเขาได้แต่นิ่งงันไป ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา…
ริมแม่น้ำสายใหญ่สายหนึ่งในเขตทุรกันดารห่างไกลหมู่บ้านและใกล้กันกับชายป่าทึบแห่งหนึ่งภายใต้หุบเขาลูกใหญ่
ตรงบริเวณใกล้กันกับริมแม่น้ำสายใหญ่แห่งนั้นกำลังมีเสียงฝีเท้าของผู้คนมากมาย ทั้งวิ่ง ทั้งกระโดด พร้อมเสียงต่อสู้ฟาดฟันดังเคร้งคร้างกันอย่างดุเดือด
ไม่ไกลกันกับริมแม่น้ำแห่งนี้ได้ปรากฏร่างงามของสตรีนางหนึ่งนอนหมดสติอยู่เป็นเวลานาน
เจ้าร่างงามที่นอนอยู่ตรงนั้นคือหงเหม่ยหลง
หญิงสาวลอยมาตามกระแสน้ำ ลอยมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ ไม่รู้ได้ว่าลอยมาไกลแค่ไหน นานเพียงใด
จนร่างของนางมานอนนิ่งอยู่ริมแม่น้ำแห่งนี้อยู่นาน
แม้หงเหม่ยหลงจะยังไม่ได้สติดีนัก แต่ประสาทหูของนางยังคงไวต่อสิ่งเร้ารอบตัวได้เป็นอย่างดี
และเสียงอึกทึกคึกโครมพร้อมเสียงฝีเท้ามากมายนั้น กำลังใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามา….
นางค่อยๆลืมตา พร้อมกับพยุงร่างของตนเองให้ลุกขึ้นนั่ง
ภาพแรกตรงหน้าเมื่อนางลืมตา เห็นเป็นกลุ่มชายฉกรรจ์กำลังเข่นฆ่าบุคคลผู้หนึ่งอยู่อย่าง หมาหมู่ ก็ไม่ปาน
ชายผู้นั้นแม้จะโดนรุมทำร้ายจากบุคคลที่มีจำนวนมากกว่า แต่ก็ยังสู้อย่างไม่ถอยแม้ครึ่งก้าว
ฝีมือถือว่าดี แม้เรี่ยวแรงจะถดถอยอย่างเห็นได้ชัด
ไม่นานร่างของบุรุษหนึ่งเดียวที่โดนรุมทำร้ายก็กระเด็นด้วยแรงเหวี่ยงจากคนกลุ่มนั้นจนลอยมากระแทกพื้นดินดังตุ้บอยู่ตรงเบื้องหน้าของหงเหม่ยหลงพอดิบพอดี
หงเหม่ยหลงเพียงนั่งนิ่งงันไม่ไหวติงด้วยเรี่ยวแรงยังไม่มีมากพอ เพียงแค่ลุกขึ้นนั่งก็ยากลำบากเกินทน
ชายหนุ่มผู้ที่กระเด็นมาหยุดอยู่ตรงด้านหน้าของหงเหม่ยหลงกำลังพยายามยันกายของตนเองให้ลุกขึ้น พลันสายตาของเขาก็เหลือบมาเห็นนางเข้า
ดวงตาคมเข้มของชายหนุ่มหรี่ลงเล็กน้อย หัวคิ้วบนใบหน้าคมคายขมวดมุ่น ไม่รู้ว่าเพราะเจ็บหรือเพราะสงสัยในตัวนาง
“ถอยไป! อันตราย” เสียงแหบพร่า ทว่ามีเสน่ห์ของชายหนุ่ม กล่าวอย่างเย็นชา
เขาสังสัยจริงๆว่าสถานที่แห่งนี้มีสตรีมานั่งอยู่ได้อย่างไร
“ฆ่า!”
“ตัดหัวไปรับเงิน”
กลุ่มชายฉกรรจ์ตะโกนอย่างฮึกเหิม
ชายหนุ่มที่โดนหมายหัวเพื่อเงิน พยุงตัวเองลุกนั่งได้แล้วกำลังจะลุกขึ้นยืน
สวบ!
พลันเสียงธนูก็แหวกอากาศมาอย่างรวดเร็ว เป้าหมายคือชายหนุ่มตรงหน้าของหงเหม่ยหลง
นั่นหมายความว่าธนูย่อมตรงมาทางหงเหม่ยหลงเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้นร่างของชายหนุ่มที่กำลังจะลุกขึ้นยืนกลับพุ่งตรงมาข้างหน้าของหงเหม่ยหลง
ฉึก!
เสียงธนูปักลงตรงกลางแผ่นหลังของชายหนุ่มพอดิบพอดี
หน้าของชายหนุ่มเกือบจะชนกับหน้าของหงเหม่ยหลงอยู่แล้ว ห่างกันเพียงปลายจมูกชนกันเท่านั้น
ลมหายใจร้อนระอุเป่ารดใบหน้างามของนาง พร้อมกับเลือดสดๆ ไหลออกจากปากของชายหนุ่ม
แม้ไม่มีเสียงร้องใดๆเล็ดลอดออกมา แต่ใบหน้าคมเข้มนั้นก็บอกได้ว่าเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย
หงเหม่ยหลงตะลึงกับการกระทำของชายหนุ่ม ไม่รู้เพราะสัญชาตญาณหรือความอ่อนแอของเขากันแน่ที่ทำให้เขาพาร่างตนเองมาบังธนูให้นาง
แต่จะเพราะอะไรก็ช่าง
เขา...
ก็มีน้ำใจช่วยนางแล้ว...
“เข้าไปตัดหัวซะ” เสียงคำรามของชายคนหนึ่งออกคำสั่ง“ฆ่าสตรีนางนั้นด้วย จะได้ไม่มีพยานรู้เห็น”
แต่ก่อนที่ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นจะขยับเท้าเข้ามาทางสองชายหญิง
ใบหน้าซีดเซียวของหงเหม่ยหลงพลันเปลี่ยนเป็นดุดันเหี้ยมเกรียม ดวงตาสีหม่นพลันเปลี่ยนเป็นสีดำขลับเข้มข้นฉายแวววาวโรจน์ มือข้างหนึ่งประคองไหล่ของชายหนุ่มตรงหน้าเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งยืดตรงออกไปทางกลุ่มชายฉกรรจ์
พลันเกิดพลังสายหนึ่งออกจากฝ่ามือเรียวงามของนาง
พลังนั้นกระทบร่างของชายกลุ่มนั้นทันที มีผลให้คนพวกนั้นกระเด็นไปคนละทิศละทางคล้ายเศษกระดาษปลิวว่อน
เงียบ...
ไม่มีเสียงของคนกลุ่มนั้นอีก
และไร้ซึ่งเสียงอื่นใดตามมา
หงเหม่ยหลงคิดว่าพวกมันคงหมดสติกันหมด
หรือไม่ ก็ตาย...
ใบหน้างามที่ฉายแววดุดันเมื่อครู่พลันกลับมาซีดเซียวอีกครั้งพร้อมกับโลหิตสีแดงสดไหลออกมาจากริมฝีปากของนางเมื่อนางไอ
“แค่ก แค่ก” หงเหม่ยหลงไอจนหอบก่อนจะหมดสติไปอีกครั้ง
บุรุษผู้ที่มีธนูปักหลังอยู่ แม้จะยังตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า แต่ก็ยังมีสติพอที่จะรับร่างบางนั้นเอาไว้ เมื่อนางสลบไป