แค้นซ้อนสวาท
ตอนที่2 เตือนสติ
___________________
"ลมอะไรหอบมึงมาหากูได้ไอ้ท่านชายคีย์รินทร์" เสียงหนาของทศกัณฐ์กระแทกถาม ชายหนุ่มผู้ร่ำรวยด้วยธุรกิจสีเทา และเป็นเจ้าของไนต์คลับที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ สถานที่อโคจรเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลก เพื่อมาปาร์ตีสังสรรค์กันในยามราตรี ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีรสนิยมดีกระเป๋าหนัก เหล้า ยา นารี ไนต์คลับแห่งนี่ไม่เคยขาด
คีย์รินทร์นั่งลงบนโซฟาสีดำที่ทำจากหนังวัวแท้ ราคาไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำไม่มีทางได้เชยชม หรือแตะต้องมัน
ภายในห้องค่อนข้างคุมโทน เพราะทศกัณฐ์ชอบสีดำ แม้แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ในตอนนี้ยังเป็นสีเดียวกันกับโซฟา
"กูก็แค่คิดถึงเหล้าที่ไนต์คลับไนต์คลับของมึง"คีย์รินทร์คว้าแก้วเหล้าของเพื่อนรัก ส่งความเฝื่อนกระดกดื่มลงคอรวดเดียวจนหมด ทว่ารสชาติที่เคยเฝื่อนในเวลานี้กลับหวานนุ่มลิ้นเป็นพิเศษ
คีย์รินทร์วางแก้วเหล้าลายสวยลง พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องทำงานของเพื่อนรักก็เห็นแต่แก้วเหล้าที่เป็นของสะสม
ทศกัณฐ์ชอบแก้วเหล้าทรงสั้นลายแปลกๆ เขาบอกแก้วเหล้าช่วยเพิ่มอรรถรสในการดื่มสุรา จะให้ดื่มแก้วธรรมดากับเหล้าราคาแสนแพงก็คงเข้าไม่ถึงฟีล ก็เหมือนเวลาที่เราอยากมีเซ็กซ์ ผู้หญิงที่ขาวอึ๋มเอ็กซ์ ก็สู้เซ็กซ์จากสาวบริสุทธิ์ไม่ได้
ความบริสุทธิ์มันช่วยเพิ่มอรรถรสในการมีเซ็กซ์...
คีย์รินทร์เหยียดลำแขนทั้งสองข้างเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่อยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตพาดไปกับโซฟาตัวยาว ผิวขาวที่ไม่มีแม้แต่รอยตำหนิ หรือแม้แต่รอยสักให้ดูขัดตาตัดกับสีโซฟา ทำเอาทศกัณฐ์รู้สึกอิจฉาในความขาวและความหล่อรวยของเพื่อน รองเท้าหนังสีตาลเข้มของคีย์รินทร์ยกพาดกลางโต๊ะสี่เหลี่ยมที่วางแก้วเหล้าเมื่อสักครู่ กระดิกปลายเท้าไปตามเสียงเพลงที่เปิดคลอภายในห้องเบาๆ ท่าทางที่เหมือนคนกำลังอารมณ์ดีทำเอาทศกัณฐ์รู้สึกแปลกใจไม่น้อย
"ในรอบสองปีที่กูได้เห็นรอยยิ้มของมึง แต่เป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายนะ" คีย์รินทร์หุบยิ้มลงในทันที และแทนที่ด้วยความเยือกเย็นบนใบหน้าให้เพื่อนรักได้เห็น
ทศกัณฐ์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแกว่งแก้วเหล้าภายในมือเล่นอย่างใช้ความคิด พลางกวาดสายตามองไปยังเบื้องหน้าด้านล่างของไนต์คลับที่มีผู้คนสัญจรตบเท้าเข้ามาทั้งชายและหญิง ต่างคนต่างวาดลวดลายโยกย้ายร่างกายไปกับเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม ทุกค่ำคืนจะมีผู้คนมากมายมาละลายทรัพย์ที่ไนต์คลับของเขาด้วยความพอใจ
"ความแค้นทำให้มึงมีความสุขหรือเปล่าไอ้คีสำหรับสองปีที่ผ่านมา" ทศกัณฐ์อยากให้เพื่อนวางความแค้นและทิฐิภายในใจลงบ้าง เขารู้ว่ามันยากแต่ตัวปัญหาก็ได้ตายตกไปตามกันไป ชดใช้กรรมที่ทำไว้ในนรก ทุกอย่างก็น่าจะจบลง แต่คีย์รินทร์กลับสุมความแค้นไว้ในอกเพื่อรอวันระเบิดออกมา
"มีสิ" คีย์รินทร์ตอบไม่เต็มเสียงนัก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีความสุขเลยสักครั้ง ตกกลางคืนฝันร้าย ตื่นขึ้นมาวนเวียนอยู่กับแสงแห่งความทุกข์ของการแก้แค้น ทุกข์ใจแต่ไม่มีใครรู้ ยกเว้นเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ตรงหน้า ที่เอ่ยปากห้ามปรามเขาอยู่ทุกวัน
"ถ้ามึงมีความสุขจริง ไหนล่ะรอยยิ้ม ไหนล่ะเสียงหัวเราะสำหรับหนุ่มขี้เหล้าเจ้ารำราญอย่างมึง"ทศกัณฐ์หันกลับมาพูดเพื่อเตือนสติเพื่อนรักอีกครั้ง เขาไม่อยากให้คีย์รินทร์มีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ ไม่อยากให้ชายหนุ่มต้องพบเจอกับโรคซึมเศร้าเหมือนที่ผ่านมา
"…"คีย์รินทร์เงียบฟัง หมุนแก้วเหล้าเล่นอย่างที่ชอบทำ เหลี่ยมของมันเวลากระทบกับแสงไฟดูสวยจนทำให้อารมณ์ดี แต่เมื่อไรที่เผลอพลั้งทำมันหล่นแตก
มันก็แค่เศษแก้วที่ไร้ค่า...
"ความแค้นทำให้ผู้คนที่จมอยู่กับมันมีแต่ความทุกข์ ไร้ซึ่งความสุข ถ้าไม่รู้จักปล่อยวาง" ต่อให้พระพุทธเจ้ามาเทศนา ไฟแค้นที่กระพือโหมอยู่ในใจของคีย์รินทร์ก็คงไม่มอดดับลงง่ายๆ น้ำที่กำลังเชี่ยว ต่อให้เอาเรือสำราญลำใหญ่ขนาดมหึมามาขวางก็มีแต่พังกับพัง
"กูต้องกราบลงที่เท้ามึงสามครั้งแล้วพูดคำว่าสาธุหรือเปล่าไอ้ทศ" รู้แหละว่าเพื่อนหวังดี แต่ชายหนุ่มกลับทำตัวไม่สน ทำหูทวนลมดื่มเหล้าอย่างสบายใจ ทศกัณฐ์ถึงกับผ่อนลมหายใจ เพิ่งเข้าใจความหวังดีเป็นศูนย์ก็วันนี้ เขาก็แค่หวังดีและหวังว่าคำพูดที่ถูกหยิบยืมมาจากหนังสือจะช่วยขัดเกลาจิตใจที่ฟุ้งซ่านของเพื่อนรักให้เย็นลงได้บ้าง แต่เปล่าเลย ไอ้สันขวาน ทศกัณฐ์ก่นด่าภายในใจ
"เด็กนั่นไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยนะไอ้คี" ทศกัณฐ์ยังไม่ละความพยายาม รู้สึกสงสารเหยื่อในการล้างแค้นครั้งนี้ เด็กผู้หญิงบริสุทธิ์คนหนึ่งที่ไม่ได้รู้เรื่องราวของผู้ใหญ่ แต่กำลังต้องมารับเคราะห์กรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุทำให้คีย์รินทร์อารมณ์สุนทรีย์ได้ขนาดนี้
"จะไม่รู้เรื่องด้วยได้ยังไง ในเมื่อพี่สาวของเธอชื่อ อัญญาวี ปกรณ์พิจิตร คนที่พรากชีวิตคนที่กูรักไปถึงสองคน"