ฉันก้มมองเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งในมือตัวเอง แม้จะโล่งนิด ๆ ที่คืนนี้มีที่ให้นอนพักแล้ว แต่เพราะคนตรงหน้าแทบเป็นคนแปลกหน้า ไม่เคยได้คุยกันอย่างจริงจังเลยสักครั้ง หากฉันหลงเชื่อหลงดีใจแล้วเกิดเรื่องไม่ดีตามมาจะทำยังไง
ครืด ๆ ๆ
ยังไม่ทันที่พี่สิบจะได้ปริปากตอบโต้ให้หายฉงนใจ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเป้ก็สั่นขึ้นมาแทรก ทำเอาฉันหงุดหงิดไม่น้อย แต่เมื่อล้วงขึ้นดูแล้วพบว่าใครโทร.มา ความหงุดหงิดก่อนหน้านี้ก็ลอยหายไป
“ว่าไงไอ้บัวนิล”
เชื่อไหมว่าทันทีที่ฉันกดรับ พี่สิบซึ่งยืนทำหน้านิ่งเนือยตรงนั้นก็ชะงักแล้วเคลื่อนสายตากลับมามองหน้าฉัน
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปตั้งแต่ได้ยินคำว่า 'บัวนิล' แล้ว
[เหงาอ่า] กระทั่งเสียงงอแงที่ฟังแล้วเหมือนกำลังถูกออดอ้อนดังขึ้น ฉันจึงละความสนใจจากท่าทีแปลกประหลาดของพี่สิบในทันที
“เหงาไรอีก ไอ้พี่เงินของแกไปไหน” ฉันกรอกเสียงถาม
เท่าที่รู้...พี่เลี้ยงที่ชื่อเงินคนนั้นค่อนข้างหวงบัวนิลมาก ตามติดแจและไม่ชอบให้น้องสาวอยู่บ้านเพียงลำพัง ไม่มีทางทำให้ผู้หญิงตัวเล็กตัวน้อยและนุ่มนิ่มหนุบหนับคนนั้นต้องเหงาหงอย
[ไม่รู้ พี่เงินบอกเราว่าจะออกไปทำธุระ แต่ไม่เห็นกลับมาสักทีอะ] แม้จะได้ยินแค่เสียง แต่ฉันกลับคาดเดาสีหน้าจากฝ่ายนั้นได้ คงทำปากยื่นปากยาว หน้ายับยุ่งอยู่ในห้องนอนแน่ [แกทำไรอยู่เหรอ วิดีโอคอลกันเถอะ ๆ ๆ พอไม่เห็นหน้าแล้วมันไม่ได้อรรถรสเลย]
“ไอ้นิล ตอนนี้เราไม่สะดวก” จำเป็นต้องปฏิเสธทั้งที่ผ่านมาฉันตามอกตามใจมันยิ่งกว่าแม่
เหตุผลคงไม่ต้องบอก เพราะถ้าเปิดหน้าจอคุยแล้วรู้ว่าฉันไม่ได้อยู่บ้าน มันต้องถามไม่หยุดแน่ว่าเกิดอะไรขึ้น กว่าจะได้วางสายคงอีกสามชั่วโมงข้างหน้า
เอาไว้อะไรเรียบร้อยค่อยเล่าให้มันฟังแล้วกัน
[อ้าว...] ปลายสายทำเสียงเสียดายหนักมาก [วันนี้ไม่มีใครว่างเลยแฮะ เราโทร.ไปหาไอ้นิ้มกับไอ้ส้มก็วุ่น ๆ กันทั้งคู่เลยอ่า]
เพราะงั้นมันถึงได้โทร.มาหาฉันไง
กลุ่มของเรามีกันทั้งหมด 4 คน ฉัน บัวนิล น้ำส้ม และนิ้ม
นิ้มคือคนที่บัวนิลคุยด้วยที่สุด แม้ฉันกับน้ำส้มยังจัดว่าสนิทสนม แต่เพราะมีนิสัยต่างกันสุดขั้ว ทำให้ในบางครั้งจึงไม่ได้เป็นผู้ถูกเลือก
อย่างเช่นเวลามีเรื่องไม่สบายใจ คนแรกที่มันนึกถึงมักเป็นนิ้ม
บอกตามตรงว่าฉันไม่ได้มายด์กับตรงนั้นสักเท่าไหร่ เป็นเรื่องปกติของกลุ่มเพื่อนนะ คือมันจะต้องมีเพื่อนคนหนึ่งที่เราสนิทกว่าใคร
เอาเป็นว่าฉันก็ยังรักและเอ็นดูยัยตัวนิ่มนั่นมากอยู่ดี
“ไม่เกินสามทุ่มเดี๋ยวโทร.กลับนะ เคเปล่า” ฉันยิ้มให้กับปลายสาย
[อื้อ ได้เลย จะรอนะ มีเรื่องอยากเมาท์ด้วย!]
ว่าจบฉันก็รอครู่หนึ่งกระทั่งบัวนิลเป็นฝ่ายวางสายไป
จากนั้นจึงยัดโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเป้ดังเดิม เพียงไม่นานก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างสูงฝั่งตรงข้ามที่ยังมองฉันไม่วางตา มองอย่างมีนัยยะ มองเหมือนต้องการพูดอะไรสักอย่างแต่กลับเลือกอมพะนำไว้
“นี่พี่”
“...”
“พี่คิดไม่ซื่อกับเพื่อนหนูใช่ไหม?”
ดูจากสายตาที่ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษเมื่อครู่นี้ก็สามารถตีความได้เลยว่า...เขาต้องรู้สึกบางอย่างกับเพื่อนฉันแน่ ๆ
ปกติฉันไม่มัวมาเสียเวลานั่งสบตาเพื่ออ่านใจใคร แต่เพราะพี่สิบเป็นคนที่ค่อนข้างเย็นชา มีสีหน้านิ่งงันจนน่ากลัว หากวันหนึ่งแววตาคู่นั้นเปลี่ยนไป แม้จะแค่เล็กน้อยก็สามารถมองออกได้ง่าย ๆ
เพราะพี่สิบเงียบไป ฉันจึงถามต่อ “ชอบมันอะดิ ใช่ปะ?”
“อืม” พี่สิบตอบ “ชอบ”
“ง่อว~ แล้ว...”
“ฝนหยุดตกแล้ว” กำลังจะถามต่ออย่างตื่นเต้น ทว่าเขากลับตัดบทแล้วคว้ากุญแจรถที่โยนทิ้งลงบนเตียงอย่างไร้ความหมายเมื่อหลายนาทีก่อน ก่อนเดินตรงมายังจุดที่ฉันยืนพิงบานประตูอยู่ “ไปเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า”
ไม่ใช่แค่พูด แต่มือหนายังยื่นมาแตะไหล่ฉันแบบผิวเผิน ไม่มีการดันหรือผลักที่รุนแรง แต่สีหน้าซึ่งกำลังส่งสัญญาณให้ถอยห่างจากประตูกลาย ๆ นั่นมากพอจะทำให้ฉันเขยิบห่าง
ระหว่างนั้นสองตายังมองร่างสูง มองพี่สิบที่กักเก็บสีหน้าได้แนบเนียนผิดไปจากตอนได้ยินชื่อบัวนิลลิบลับ มองจนกระทั่งเขาไกลออกไปจากรัศมีสายตา
ในตอนนั้น...ฉันไม่ได้คิดอะไรมากนักเพราะมั่นใจว่าต่อให้พี่สิบชอบบัวนิลมากแค่ไหน ก็คงยากที่จะทำให้คนอย่างมันหวั่นไหว
มั่นใจเพราะยัยเพื่อนคนนั้นมันมีคนที่ชอบอยู่แล้วไง
กระทั่งหลายวันต่อมา ฉันถึงเข้าใจเหตุผลที่เขายอมช่วยเหลือฉันจากการร่อนเร่ไร้ที่ซุกหัวนอน เข้าใจว่าความดีที่พี่สิบมีให้ฉันในตอนนั้น ได้กลายมาเป็น 'บุญคุณที่ต้องตอบแทนด้วยการเป็นแม่สื่อให้เขาและเพื่อนของตัวเอง'
ไม่นานหลังจากรู้ความจริงข้อนี้ ฉันถามพี่สิบว่า ‘ทำไมถึงเป็นหนูคะ? ทำไมไม่เป็นไอ้นิ้ม ในเมื่อมันสนิทกับไอ้นิลมากกว่าหนู’
คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ ‘เธอเข้าท่ากว่าเพื่อนทุกคนของเด็กคนนั้น’
ฉันไม่รู้ ‘เข้าท่า’ ที่ว่าคือแบบไหน
นิสัยดีเหรอ? ก็ไม่ ว่านอนสอนง่ายหรือไง? ก็ไม่อีกนั่นแหละ
แต่พี่สิบไม่แจกแจงเหตุผลให้ฉันได้ทำความเข้าใจจนแตกฉานมากกว่านี้ ปล่อยให้ฉันพยุงความสงสัยนั้นเรื่อยมา กระทั่งวันนี้...
เป็นอีกวันที่อากาศดี และโชคก็เข้าข้างที่อาจารย์ประจำวิชาดันงดสอน ทำให้นักเรียนห้องเราว่างงานจนระเหเร่ร่อนไปทั่ว ซึ่งพอดีกับตอนนี้เป็นคาบพละของรุ่นพี่มอหก ฉันจึงถือโอกาสชวนเพื่อน ๆ ไปนั่งเล่นขอบสนามฟุตบอล หวังจะมีอาหารตาให้เชยชมบ้าง และใช่...รุ่นพี่ที่ว่านั้นมีพี่สิบอยู่ด้วย
รุ่นพี่มอหกของโรงเรียนเรา ส่วนมากตัวสูงใหญ่และหน้าตาดีกันทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ชายที่ดูจะบ้าคลั่งการออกกำลังกายจนมีสัดส่วนทองคำอย่างพี่สิบ
ดังนั้นเมื่อมาถึง ฉันจึงพบกับนักเรียนหญิงทั้งมอต้นและมอปลายรวม ๆ แล้วเกือบยี่สิบคนนั่งกระจายตัวกันตรงขอบสนาม บางส่วนอยู่บนอัฒจันทร์ ผู้หญิงพวกนั้นล้วนแล้วแต่ให้ความสนใจในตัวพี่สิบ รวมไปถึงกลุ่มเราด้วยเช่นกัน
ฉันนั่งอยู่ข้างบัวนิลที่กำลังดูดน้ำผลไม้ ชำเลืองมองแล้วพบว่ามันกำลังมองพี่สิบอยู่ สายตาชื่นชมไม่น้อย
ก็นะ เป็นธรรมดา หล่อขนาดนั้น แถมลีลาการเล่นฟุตบอลที่ไม่เป็นสองรองใครก็ค่อนข้างเตะตา ใครไม่มองด้วยความชื่นชมก็บ้าแล้ว
แต่ทีเด็ดน่ะคือเสื้อนักเรียนสีขาวที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจนเห็นกล้ามเนื้อหนั่นแน่นต่างหาก กล้ามเนื้อที่มองจากระยะไกลยังทำเอาฉันน้ำลายแทบหก
รู้สึกต่อมแรดทำงาน
วูบ... แต่แล้วฉันก็จำเป็นต้องเก็บ 'นอ' ที่งอกออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อพี่สิบหันมาทางนี้เหมือนล่วงรู้อะไรบางอย่าง
จนพบว่าบัวนิลกำลังจ้องมองเขาอย่างให้ความสนใจ ปฏิกิริยาเหล่านั้นทำให้เจ้าตัวฮึกเหิมจนสามารถเลี้ยงฟุตบอลหลบหลีกผู้เล่นอีกฝั่งได้ในท่วงท่าที่ดูเป็นมืออาชีพ จากนั้นก็...เตะลูกบอลเข้าโกลไป
แหมพ่อคุณ คึกใหญ่เลยนะ
ฉันถึงกับกลอกตา...