บทที่2.2

991 คำ
“ก็ตั้งแต่ตอนเที่ยงพี่ให้เพื่อนมาตามหนูไปหาใช่เปล่า แล้วตอนเย็นพี่ก็ตามหนูไม่เลิกเลยอะ แถมยังชวนหนูขึ้นรถท่าเดียว มาตอนนี้พอรู้ว่าพี่พาเข้าห้อง จะให้คิดดีได้ไง หนูไม่ได้โง่นะเว้ย” “เหรอ” กึก จบประโยคยาวยืดนั่น ผมจึงตัดสินใจเขยิบเข้าไปใกล้อีกนิด ใกล้จนลมหายใจของมิ้นสะดุดกึก กึก และทันทีที่ผมเขยิบเข้าไปหาก้าวที่สอง เด็กพูดมากก็ขยับถอยหลังโดยอัตโนมัติเหมือนรู้ว่าสถานการณ์มันชักไม่ชอบมาพากล เป็นแบบนี้อยู่พักหนึ่ง กระทั่งแผ่นหลังของมิ้นชนเข้ากับประตูห้องที่เพิ่งปิดสนิทเมื่อครู่นี้ ในตอนนั้น...ผมใช้สองมือค้ำไว้กับประตูระหว่างศีรษะของเธอ ก้มมองผู้หญิงตรงหน้าที่แม้แววตาจะยังมีความอวดดีและไม่เกรงกลัว แต่การกลืนน้ำลายลงคออึกที่สองบ่งบอกว่าเธอเริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมาบ้างแล้ว ผมมองน้องที่กอดกระเป๋าเป้แน่น มองอยู่ราว ๆ สิบวินาทีจึงเปล่งเสียงถามอย่างใกล้ชิดจนลมหายใจเป่ารดกัน “แล้วให้ทำหรือเปล่า” “ยอมรับแล้วเหรอว่าคิด?” “ตอนแรกไม่คิด” ผมปฏิเสธ แต่ยังกักขังเธอไว้ด้วยสองแขนและการแนบชิดที่ไร้ช่องว่างจนฝุ่นละอองแทบไม่สามารถลอดผ่านได้ “แต่ตอนนี้ไม่แน่...” ผมขยับหน้าเข้าไปใกล้อีกนิดจนริมฝีปากเราสองคนแทบจะสัมผัสกัน ใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจสั่นพร่าจากอีกฝ่าย ใกล้จนเห็นรายละเอียดบนใบหน้าชัดเจนในทุก ๆ ส่วน มิ้นผิวเนียนละเอียดมาก แทบไม่มีรูขุมขน รอยสิวอะไรเทือกนั้นก็ไม่ปรากฏให้รบกวนสายตาสักนิด และอาจฟังดูโรคจิตไปสักหน่อยถ้าจะบอกว่าในระยะห่างอันน้อยนิดนี้ ทำให้ผมได้กลิ่นอ่อนจางจากตัวของเธอ ไม่ใช่กลิ่นแป้งเด็ก ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอม ไม่ใช่กลิ่นเหงื่อ อาจจะเป็นกลิ่นประจำตัวล่ะมั้ง ก็ต้องยอมรับว่าหอมดี “หนูอายุสิบสี่เองนะพี่ กล้าเหรอ ติดคุกนะ รู้จักคุกไหม หื้ม?” ตอนแรกเลย...ผมมั่นใจว่ามิ้นแสดงอาการหวาดหวั่นออกมาให้เห็นและคิดว่าคงจะสิ้นฤทธิ์สิ้นเดช หนึ่งนาทีให้หลังปรากฏว่าเธอกลับปีกกล้าขาแข็งอีกครั้ง พิลึก... “ไม่กลัว?” ผมถามทั้ง ๆ ที่ยังไม่ผละหนี “ไม่กลัวสิแปลก” มิ้นรับสารภาพอย่างตรงไปตรงมา “แต่พี่ไม่ทำหรอก” “เอาอะไรมามั่นใจ” “การกระทำเหมือนจะชอบนะ แต่พอมองใกล้ ๆ แบบนี้ถึงเห็นว่าแววตากับสีหน้าพี่มันโคตรไร้อารมณ์ มองไม่เห็นความพิศวาสเลยค่ะ ไม่ชอบจะทำลงได้ไง ใช่เปล่า” มิ้นลอยหน้าลอยตา “และต่อให้พี่จะอยากทำ หนูก็ไม่ยอมอยู่ดี ในเป้หนูมีมีดพกกับสนับมือนะคะ อยากลองไหม?” “...” “ถึงพี่จะหล่อมาก แต่หนูแทงไม่ยั้งนะบอกไว้ก่อน” “...” ผมควรทำยังไงกับคำขู่ของลูกแมวเพิ่งหย่านมนี่ดี... End Describe. ในที่สุดพี่สิบก็ผละออก... จังหวะปล่อยฉันให้เป็นอิสระ เหมือนตาจะฝาดไปชั่วขณะเพราะดันเห็นมุมปากซึ่งเรียบตึงอยู่เสมอของเขายกขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับเป็นรอยยิ้ม เพียงแวบเดียวเท่านั้น แต่การยกมุมปากด้วยสีหน้าแบด ๆ นั่นกลับบาดเข้าไปในใจ ฉันน่าจะพิศวาสเขาสักหน่อยนะ น่าจะกรี๊ดกร๊าดเขาเหมือนนักเรียนหญิงคนอื่น ๆ สาบานเลยว่าถ้าฉันมีความรู้สึกเชิงชู้สาวกับเขามากกว่านี้ จะไม่มีทางปล่อยโอกาสทองนี้ให้หลุดมือไปแน่ ๆ แต่ทำไงได้ ในสายตาฉัน เขาคือรุ่นพี่ที่หล่อวัวตายควายล้มคนหนึ่งเท่านั้น วินาทีที่เขาเขยิบเข้ามาใกล้ ทำสีหน้าอันตรายใส่ แม้จะสั่น ๆ อยู่บ้าง แต่มันเป็นกลไกตามธรรมชาติตอนอยู่ใกล้คนหน้าตาดีเกินความจำเป็น แล้วแววตาของคนหน้าตาดีคนนั้นก็ไม่ใช่เล่น ๆ ด้วย รู้เลยว่าไม่ธรรมดา พรึ่บ! “ไปเปลี่ยนชุด เดี๋ยวไม่สบาย” หลังจากสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติ พี่สิบที่ไม่รู้ว่าเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็โยนเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่มาให้จนฉันต้องรับไว้อย่างงุนงง “ฉันจะกลับบ้าน” “ให้หนูอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอคะ?” ฉันถามขณะมองเขาที่จุดบุหรี่สูบด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวากำลังเสยผมเปียกชื้นขึ้นลวก ๆ... กร้าวใจมากแม่ อ่อยน้องแหละดูออก “อืม” พี่สิบเขยิบไปยืนพิงผนังฝั่งตรงข้ามฉัน จากนั้นก็พ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างอ้อยอิ่ง “ถามเหมือนอยากให้นอนที่นี่ด้วย” “ไม่ใช่จ้า แค่สงสัยเฉย ๆ ยังไงนี่ก็ห้องพี่ไง ไว้ใจคนแปลกหน้าแบบนี้ไม่กลัวของหายเหรอ หนูยิ่งจน ๆ อยู่ด้วย” ว่าแล้วก็กวาดสายตามองรอบห้องเขาอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างดูมีมูลค่าไปหมด จิ๊กหนึ่งชิ้นไปขายก็น่าจะได้หลายบาทอยู่นะเนี่ย เจอแล้ว หนทางรวย... “ถ้ากล้า” เขาถอนหายใจเหมือนเหนื่อยแล้วที่จะเสวนากับฉัน “จริง ๆ พี่นอนที่นี่ก็ได้ เดี๋ยวหนูไปนอนบนโซฟาตัวโน้นเอา ไม่มีปัญหาหรอก” หลังยืนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็พอจะเข้าใจเหตุผลที่เขาต้องกลับบ้าน ดังนั้นฉันจึงรีบโพล่ง “หนูขอรบกวนคืนเดียวพอ” “ไม่เป็นไร” เขาพ่นบุหรี่ออกมาอีกครั้ง ก่อนจะนำมันบี้กับที่เขี่ยบนโต๊ะใกล้ ๆ “ตามสบาย” “ช่วยหนูขนาดนี้ พี่คงไม่หวังผลอะไรในภายหลังหรอกนะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม