“คนเยอะชะมัด”
ฉันกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายให้กับผู้คนมากมายที่ยืนออกันจนแน่นขนัดอยู่บนรถเมล์ ใจจริงไม่อยากขึ้นไปยืนเบียดเสียดบนนั้นเลยสักนิด แต่ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อฉันต้องไปโรงเรียน และตอนนี้ก็สายมากแล้ว
ดูจากเวลาก็พอรู้ว่าคงไปไม่ทันช่วงเคารพธงชาติหน้าเสาธงแน่ แต่อย่างน้อย ๆ ขอให้ทันคาบโฮมรูมก็ยังดี
ไปเรียนสายทุกวัน คะแนนจิตพิสัยโดนหักจนไม่เหลือแล้วมั้ง
เผลอ ๆ คะแนนอาจติดลบไปแล้วก็ได้
คิดแล้วก็ยักไหล่ส่ง ๆ พลางเขยิบเข้าไปยืนในจุดที่สามารถใช้มือเกาะกับราวเหล็กได้
รถเมล์สายนี้ขับซิ่งทุกคัน ปาดซ้ายปาดขวาไม่แคร์ความรู้สึกผู้โดยสาร เคยต่อปากต่อคำกับคนขับอยู่หนหนึ่งนะ แต่ทั้งคนขับและกระเป๋ารถเมล์ยี่หระที่ไหน ทางเดียวที่ลูกค้าอย่างเราทำได้ในเวลาอันเร่งรีบแบบนี้คือหาอะไรมายึดหรือค้ำไว้ จะได้ไม่หน้าทิ่มพื้นตอนเบรก
ส่วนจุดที่ฉันยืนน่ะอยู่ใกล้กับประตูทางเข้าเพราะส่วนนี้คนไม่ค่อยมายืนกัน
ฉันเกลียดการยืนเบียดกับคนอื่นมากจริง ๆ
เกลียดเพราะมันทำให้ต้องใกล้ชิดกับคนแปลกหน้ามากเกินความจำเป็น เกลียดเพราะครั้งหนึ่งเคยเจอโรคจิตเอาอวัยวะเพศมาถูไถกระโปรงนักเรียน กระซิบกระซาบให้ฉันหุบปากอย่าส่งเสียง คิดถึงเหตุการณ์นั้นทีไรก็ผะอืดผะอมอยากอ้วกทุกที แต่เสียดายข้าวเช้าเลยกลั้นไว้
และแน่นอน ไอ้โรคจิตคนนั้นเจอฉันสยบด้วยเสียงกรี๊ด มันจึงโดนคนบนรถเมล์รุมประชาทัณฑ์และถูกลากตัวส่งตำรวจเรียบร้อย
สวบ ๆ
เพราะกว่าจะเดินทางถึงโรงเรียนคงอีกหลายนาที ฉันจึงคุ้ยหาโทรศัพท์กับหูฟังในกระเป๋าเป้ ตั้งใจจะฟังเพลงเพลิน ๆ สักหน่อย ทว่า...
เอี๊ยด!
“อ๊ะ!” จังหวะละมือออกจากราวเหล็ก แทบจะเป็นเวลาเดียวกันที่รถเมล์เฮงซวยเกิดเบรกกะทันหันจนฉันถลาไปด้านหน้า ในใจกรีดร้องด้วยความอับอายไปแล้วว่าต้องล้มท่าไม่สวยแน่
แต่...ปึก
ช่วงเวลาที่เสียหลัก กลับมีใครบางคนเขยิบมาด้านหน้าเพื่อเอาแผงอกหนั่นแน่นรองรับร่างฉัน แอบเห็นแวบ ๆ ว่าเขาคนนั้นใช้มือเพียงข้างเดียวกำแน่นตรงราวเหล็ก ส่วนแขนอีกข้างกำลังโอบเอวฉันไว้อย่างมั่นคง
ฉันชะงักจนตาลาย ก่อนความตื่นตระหนกก่อนหน้านี้จะถูกลบลืมจนหมดสิ้นหลังได้สติ แล้วสัมผัสกับกลิ่นหอมอ่อนจางอันเจือไปด้วยกลิ่นบุหรี่จากคนแปลกหน้า เป็นกลิ่นที่ชวนให้ใจสั่นและหวั่นไหวจริง ๆ และเหนือสิ่งอื่นใด...
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของแผงอกแข็งแรงกับกลิ่นตัวหอม ๆ จนสบเข้ากับนัยน์ตาคมกริบดุจเหยี่ยวคู่นั้นซึ่งกำลังหลุบต่ำมองกันอยู่ก่อนแล้ว...ลมหายใจก็พลันขาดห้วงขึ้นมาอย่างไม่น่าให้อภัย
ฉันได้คำตอบในทันทีว่าเจ้าของร่างกายสุดแข็งแรงและท่อนแขนอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่ยังคงโอบแน่นรอบเอวเป็นใคร
เขาคือ 'พี่สิบ' รุ่นพี่โรงเรียนเดียวกันกับฉัน
เขาอยู่มอหก มีชื่อเสียงจากความหล่อเหลาและความเก่งกาจด้านกีฬา
ฉันพอรู้อยู่บ้างว่าเขาเป็นหัวหน้าชมรมฟุตบอลและมีดีกรีเป็นถึงกัปตันทีม แถมยังฮอตในหมู่นักเรียนหญิงมาก ๆ ดัง...ทั้ง ๆ ที่ภาพลักษณ์ภายนอกนั้นดูแบดบอยไม่น่าเข้าใกล้เลยแม้แต่นิด
ว่าแล้วก็กลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก
“ขอบคุณค่ะ” หลังจากหาเสียงของตัวเองเจอก็ไม่ลืมเอ่ยขอบคุณ
ตั้งท่าจะผละออกเพราะรู้สึกว่าเราใกล้ชิดกันเกินไป ใกล้ชิดจนรับรู้ถึงอุณหภูมิร้อนผ่าวจากตัวเขา
แต่...พี่สิบกลับไม่ยอมปล่อยท่อนแขนออกจากเอวฉัน
เขายังโอบไว้ ยังจ้องหน้าฉัน...
เพราะเอาแต่มองหน้าและไม่ปล่อยให้เป็นอิสระสักที ฉันที่รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาจึงถามเสียงขึ้นจมูก “นี่พี่ ปล่อยได้ยัง?”
มันจะมากไปแล้ว อยากช่วยหรืออยากฉวยโอกาสกันแน่
ถึงในสายตาคนอื่น ๆ ฉันจะเป็นพวกไม่ค่อยสนใจการเรียน แต่งตัวไม่เป็นระเบียบ กระโปรงสั้นเหนือเข่า ผมเผ้ามัดบ้างไม่มัดบ้าง ถึงจะโดนก่นด่าว่าเป็นหญิงแรดหญิงแรงแห่งสถาบัน แต่ ‘อีมิ้น’ คนนี้ก็ไม่ได้ชอบให้ผู้ชายที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันเป็นพิเศษมาโอบกอดอย่างแนบชิดแบบนี้นะ
แรก ๆ ก็ดูเป็นความหวังดีอยู่หรอก แต่ไป ๆ มา ๆ ฉันว่าไม่ใช่แล้ว นี่มันหลอกแต๊ะอั๋งมากกว่าไหม!
พรึ่บ
“...”
โชคดีที่เสียงของฉันส่งไปถึงคนฟัง พี่สิบที่ขึ้นชื่อเรื่องความเย็นชาจึงเอาท่อนแขนแข็งแรงออกจากเอวฉันโดยพลัน ไม่ลืมเขยิบเพื่อรักษาระยะห่างด้วย
แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหยักลึกที่มักจะเรียบตึงอยู่เสมอของเขา
จะว่าไป...ฉันเคยแอบเห็นเขาสูบบุหรี่หลังตึกบ่อย ๆ นะ ภาพที่รอบตัวเขามีควันบุหรี่ปกคลุมจนเลือนร่างจึงเหมือนภาพจำของฉันไปแล้ว แต่ไอ้ปากที่เอาไปสูบบุหรี่นั่นน่ะ ไม่เห็นจะติดคล้ำอย่างคนอื่นเขา ระเรื่อกว่าฉันที่ทาลิปบาล์มเปลี่ยนสีมาซะอีก
“มองทำไมคะ พี่มีปัญหาอะไรกับหนูหรือเปล่า?”
ฉันตัดสินใจถามขึ้นอีกหลังพบว่าพี่สิบที่อยู่ในชุดนักเรียนมอปลาย ทว่าไม่เป็นระเบียบยังคงจ้องมองฉันแม้ระยะห่างจะกว้างพอให้วางใจแล้ว
“เปล่า” ในที่สุดเสียงทุ้มแหบก็โต้ตอบกลับมาบ้าง
ตอบเสร็จก็เบือนสายตาไปทางอื่น ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อะไรของไอ้พี่นั่นวะ...