ทว่าจากเดิม ที่จะเต้นเพลงเดียว กลับกลายเป็นหลายเพลง ทั้งสองอยู่กลางฟลอด้วยกันอย่างไม่เบื่อหน่าย พร้อมกับทำความรู้จักกันไปในตัว กระทั่งเหนื่อยเซดริกจึงเป็นคนพาเธอกลับมานั่งที่เดิม แต่ถึงกระนั้นเพื่อนสาวของเมรินทร์ก็ยังไม่ยอมกลับมานั่งที่เดิมเสียที จังหวะนี้เอง เมรินทร์เหลือบเห็นว่าเพื่อนเธอนั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นเพื่อนของเซดริกนั่นเอง
“เอ่อ โต๊ะนั้นใช่เพื่อนของคุณหรือเปล่าคะ” เมรินทร์ถามพลางบุ้ยหน้าบอกเล็กน้อย ไม่ได้หันไปเสียทีเดียว เขาจึงหันไปมองตาม
“อ๋อ ใช่ครับ เพื่อนคุณก็อยู่ด้วย สงสัยจะคุยกันถูกคอ” เขาตอบและหันมายิ้มให้กับเธอ และให้ตายสิ ทุกครั้งที่เขายิ้มเธอจะต้องหลบสายตาทุกทีสิน่า
“ดื่มต่อไหมครับผมจะสั่งไวน์เพิ่มให้” ดูเหมือนเขาอยากจะมอมเธอเสียเต็มประดา
“อืม ไม่ดีกว่าค่ะ ดื่มต่อไม่ไหวแล้ว ไม่งั้นกลับไม่ถึงบ้านแน่ ๆ” พอพูดจบเธอก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ปรากฏว่าหกทุ่มแล้ว ถ้ากลับดึกกว่านี้แย่แน่ ๆ
“ตายจริงหกทุ่มแล้ว สงสัยฉันคงต้องกลับ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงหม่นลง และเขาเองก็รู้สึกใจหาย กลัวว่าถ้าผ่านคืนนี้ไปมันคงต้องจบแน่ ๆ แล้วทำอย่างไรถึงจะสานต่อได้ล่ะ
“เป็นนางซินเหรอครับ ต้องรีบกลับตอนหกทุ่มน่ะ” เขาแกล้งแซวเพื่อไม่ให้เธอดูตื่นเต้นหวาดหวั่นนัก
“ก็ประมาณนั้นค่ะ อีกอย่างเริ่มไม่ไหวแล้ว นี่แทบจะลืมตาไม่ขึ้น”
“เป็นเพราะดื่มไวน์ที่ผมสั่งมาให้จนหมดขวดแน่ๆ”
“หึ ๆ ก็มีส่วนค่ะ แต่ก่อนหน้าฉันก็ดื่มมาก่อนแล้วล่ะ” เธอตอบและมีเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ
“งั้นเอ่อ จะรังเกียจไหม ถ้าผมจะขอไปส่ง” คำขอของเขาทำเอาเธอชะงักและมองหน้า
“เอ่อ ไม่รบกวนหรอกค่ะ ฉันมากับเพื่อนน่ะ คงไม่ลำบากให้คุณไปส่งหรอก” เธอปฏิเสธอย่างมีมารยาท ซึ่งเขาก็รู้ดีว่าเธอต้องปฏิเสธอยู่แล้ว
“น่าเสียดายจัง ผมยังไม่อยากให้คุณกลับเลย” นี่เขากำลังอ้อนเธออย่างนั้นสินะ
“ดึกมากแล้วค่ะ เอ่อ เดี๋ยวโทรตามเพื่อนก่อนนะคะ” ว่าแล้วเธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าถือ พลางกดเบอร์มือถือของเพื่อน ขณะที่อีกฝ่ายกำลังนั่งดื่มและคุยกับเพื่อนของเซดริกอย่างออกรส
กริ้ง! กริ้ง! กริ้ง! เสียงโทรศัพท์ของอีกฝ่ายดังขึ้น ทำให้เธอ จึงได้หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง
“ว่าไงจ๊ะเม!” มุกดารับสายพร้อมกับถามเสียงดังพอสมควร
“จะกลับหรือยัง หกทุ่มแล้วนะ” เมรินทร์ถามหยั่งเชิงเสียก่อน
“ยังไม่ดึกเท่าไหร่เลย ขอสนุกต่อหน่อยน่ะ พอดีกำลังคุยกับพี่ ๆ เขาน่ะ” พี่ ๆ อย่างนั้นหรือ ฟังอย่างนี้แล้วเมรินทร์คงไม่ได้กลับแน่ๆ
“แต่เมมึนแล้วก็เมาแล้ว อยากกับไปพัก”
“อื้อ! รอก่อนสิ นะเพื่อนกำลังสนุกเลยอ่ะ อีกอย่างพี่ ๆ เขาชวนไปกินอะไรต่อน่ะ”
“ชวนไปต่ออย่างนั้นเหรอ แล้วเมล่ะ จะทิ้งกันเหรอเนี่ย”
“ทิ้งได้ยังไง เมต่างหากที่ไปกับพี่คนนั้นก่อน” พี่คนนั้น นี่เพื่อนคงหมายถึงเซดริกที่นั่งอยู่สินะ
“ไม่ได้ไปไหนเสียหน่อย นี่ก็ยังนั่งอยู่โต๊ะ” เมรินทร์ว่าด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น
“เอาน่าคุยกันไปก่อนนะ ผับปิดแล้วค่อยกลับ หรือถ้ารีบก็ให้พี่เขาไปส่งก็ได้” ให้ตายสิ ทำไมถึงได้ทิ้งกันแบบนี้ล่ะ
“เอ่อ บ้าเหรอ เพิ่งรู้จักจะให้ไปส่งได้ยังไง อย่าทิ้งกันสิ”
“ไม่ได้ทิ้ง นะๆ พี่เขาออกจะสุภาพบุรุษ ให้พี่เขาไปส่งนะ เพราะถ้ารอกันล่ะก็อีกนานเลย”
“นี่เห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อนใช่ไหมเนี่ย ตัวเองชวนเมมาเองนะ”
“เมก็ได้ผู้ชายแล้วไง หล่อเว่อร์ด้วย ให้ไปส่งสานสัมพันธ์จบปิ้ง เอาไปอวดพ่อกับแม่เลย” อะไรจะพูดง่ายขนาดนี้
“ไม่จบด้วยหรอก” เมรินทร์บอกอย่างงอนเง้าพลางมองหน้าเซดริกอย่างเครียด ๆ
“นะนะ ให้เพื่อนได้ปล่อยผีบ้าง เมให้พี่เขาไปส่งนะ แค่นี้ แค่นี้”
“เฮ้! ยัยมุก เดี๋ยว” ยังไม่ทันที่เมรินทร์จะได้ทัดทาน เพื่อนรักก็วางสายไปเสียก่อน ทำให้เธอถอนหายใจ แล้วเก็บโทรศัพท์ทันที ขณะเดียวกันเซดริกก็ดูออกว่าเพื่อนสาวคงไม่คิดจะไปส่งแน่ ๆ
“ว่าไงครับ” เซดริกถามด้วยความเป็นห่วง
“คือ เพื่อนฉันจะรอให้ผับปิดก่อนแล้วค่อยกลับน่ะค่ะ อีกนานเลย” เธอบอกด้วยน้ำเสียงหม่น
“ถ้าอยากกลับจริง ๆ ให้ผมไปส่งนะ รับรองถึงบ้านอย่างปลอดภัยครับ ผมสัญญา” เขาขันอาสา ซึ่งแน่นอนเธอไม่ไว้ใจหรอกเพราะเพิ่งรู้จักกัน เขาอาจจะเป็นคนดีหรือไม่ดีแอบแฝงก็ได้ คิดได้หลายอย่าง
“ฉันเอ่อ ไม่ดีกว่าค่ะ เราเพิ่งจะ... เพิ่งจะรู้จักกัน”
“รู้ว่าคุณไม่ไว้ใจผม แต่ว่า...” เขายังพูดไม่ทันจบก็ชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้วแบบลูกเสือ
“สัญญาจะส่งให้ถึงบ้านครับผม”
“คือ มันคงจะไม่เหมาะจริง ๆ ค่ะ” ปากก็พูดไป ใจอยากจะให้เขาไปส่งแหละ แต่สำคัญคือเธอไม่ไว้ใจเขา กลัวจะหวั่นไหวและจะหาว่าอ่อยอีก
“จะพูดยังไงคุณถึงจะเชื่อ” เขาพยายามใช้น้ำเสียงและสายตาที่เป็นมิตร ทำให้เธอถอนหายใจเบา ๆ
“ฉันกลัวคุณจะมองว่าฉันเป็นผู้หญิงแบบ... เอ่อ แบบว่า” เธอกำลังถ่อมตัวและดูถูกตัวเอง ซึ่งมันก็จริงนั่นแหละ แต่ดีแล้วที่เธอบอกเขาตรงๆ
“คุณไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น สบายใจได้ครับ นะครับให้ผมไปส่งนะ ถ้าให้นั่งแท็กซี่กลับเองคุณก็เมาแล้ว” เขาใช้ลูกอ้อนและสุดท้ายเธอก็ยิ้มเล็กน้อย
“ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณสัญญาว่าจะส่งถึงบ้าน” เมรินทร์ตัดสินใจรับไมตรีจากเขา
“สัญญาครับ ด้วยเกียรติของลูกผู้ชายเลย” เขายกมือขึ้นทำท่าสัญญากับเธออีกครั้ง แต่นั่นล่ะมันทำให้นึกหวั่นใจ เพราะเธอกลัวจะพลั้งเผลอ ทว่าท่าทางเขาออกจะเป็นสุภาพบุรุษขนาดนี้คงไม่มีอะไรหรอก เธอครุ่นคิด อีกเรื่องก็อย่างที่เพื่อนบอก คือเป็นโอกาสหาใครสักคนมาเป็นไม้กันหมา จากไอ้เสี่ยหื่นกามหวังจะเคลมเธอ
“งั้นก็กลับตอนนี้เลยได้ไหมคะ” เมรินทร์ถามอีกครั้ง เพราะเธอเริ่มปวดหัวแล้ว รู้อย่างนี้ไม่ดื่มจะดีเสียกว่า เธอคิด
“โอเค ผมขอเคลียร์บิลก่อนนะครับ” ว่าแล้วเขาก็ยกมือขึ้นเรียกพนักงานเสิร์ฟ เพื่อเคลียร์ค่าไวน์ที่แพงพอดู เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็พาเธอออกไปจากผับ ซึ่งนาฬิกาบอกเวลาหกทุ่มนิดๆ แต่ผู้คนยังเข้าออกผับเป็นว่าเล่น ส่วนเซดริกก็พาเมรินทร์ เดินมาที่ลานจอดรถ พอมาถึงรถปุ๊บเมรินทร์ถึงกับชะงักไปชั่วครู่ สายตามองที่รถและมองหน้าเขาสลับกัน ทว่าเธอไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นที่เห็นโรล - สลอยซ์สีดำราคาสามสิบล้านคันนี้อยู่ตรงหน้า แต่สงสัยแค่ว่าเขาคนนี้เป็นใคร ไม่น่าจะเป็นคนธรรมดาแน่ ๆ อาจเป็นลูกมหาเศรษฐีหรือไม่ก็เป็นนักธุรกิจพันล้านอะไรเทือกนั้น แต่ช่างเถอะ เธอไม่ได้หลงวัตถุขนาดนั้น แต่จังหวะที่เธอกับเขายืนอยู่ใกล้รถ คนขับรถซึ่งนั่งรอใกล้ๆ พอเห็นเจ้านายก็รีบเดินมาเปิดประตูให้ทันที
“จะกลับแล้วเหรอครับ” คนขับรถถาม
“อืม เมาแล้ว จะไปส่งคุณเมด้วย” เซดริกบอกพร้อมกับเอื้อมมือไปประคองเธอด้วยเพราะน่าจะหมดแรงแล้ว
“งั้นเชิญครับ” คนขับรถบอก จากนั้นเซดริกจึงเผยมือให้เมรินทร์ขึ้นรถก่อน เธอมองลอดเข้าไปในรถก็ต้องอึ้งแบบไม่เคยเห็นมาก่อนแต่ก็ต้องเก็บอาการ
“ขอบคุณค่ะ” เมรินทร์ยิ้มก่อนจะโน้มตัวลงเพื่อก้าวขึ้นรถ จากนั้นเขาก็ตามขึ้นไปนั่งข้างๆ พร้อมกับประตูปิดลงแล้วคนขับก็อ้อมขึ้นนั่งด้านหน้า เป็นครั้งแรกที่เมรินทร์ได้นั่งรถราคาแพงขนาดนี้ แตกต่างจากรถปกติ ไม่คิดว่าภายในจะหรูหรากว้างขวาง เป็นเบาะหนังสีครีมยาวคล้ายโซฟา ตรงพื้นเป็นหนังสีขาวกว้างจนสามารถลงไปนั่งเล่นได้ 2-3 คนเลยทีเดียว