มันเป็นบ้านพักตากอากาศบนเนินเขาโอบล้อมด้วยธรรมชาติของขุนเขาห่มหญ้าสีเขียวตัดกับท้องฟ้าและทะเลสีครามพลิ้วด้วยระลอกคลื่นราวภาพวาดจากปลายฝีแปรงของจิตรกรเอก ภิณไลย์ญาทั้งตื่นเต้นและแปลกประหลาดใจในเวลาเดียวกัน แต่แม้สถานที่แห่งนี้จะวิจิตรราวภาพฝันแต่มันกำลังจะกลายเป็นที่ขุมขังหัวใจของเธอไปอีกนานเท่าใดไม่รู้ได้
และเมื่อเข้าไปในบ้านเธอเห็นหญิงวัยกลางคนในชุดแม่บ้านยืนรออยู่แล้วภายในห้องรับแขกที่เต็มไปด้วยของเล่นเด็กทั้งตุ๊กตาและตัวต่อที่วางเกลื่อนบนพื้น เธอคนนั้นยิ้มให้ทั้งชายหนุ่มกับเด็กน้อยไม่เว้นแม้แต่ภิณไลย์ญาที่ยังรู้สึกแปลกตาและแปลกเปลี่ยนต่อสถานที่ซึ่งเธอไม่คุ้นเคย
นิโคลัสหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาขณะโซอี้ยังอยู่บนตักของเขาและมองมายังหญิงสาวผู้มาใหม่ด้วยสายตาที่ดูเหมือนไม่ค่อยไว้วางใจ หนูน้อยยิ้มให้บางครั้งแต่เป็นยิ้มที่พริตตี้สาวอดนึกขำในใจไม่ได้เพราะเด็กหญิงยิ้ม ๆ หุบๆ ขณะมองเธอตลอดเวลา โซอี้ตัวเล็กนิดเดียวเมื่ออยู่บนตักร่างหนาใหญ่ของคุณพ่อที่ใบหน้าหล่อเหลายังถมึงทึงเฉพาะเวลามองมาที่ภิณไลย์ญา และอีกครั้งที่เธอได้ยินเสียงของพ่อลูกคุยกัน
“โอว...โซอี้...นี่ลูกไม่ได้ตัดเล็บเลยใช่ไหม เมื่อกี๊แดดี๊แสบหน้า รู้แล้วว่ามันต้องมาจากปลายเล็บของลูกแน่ๆ”
ว่าแล้วเขาก็จับมือเล็ก ๆ ทั้งสองของเด็กหญิงในตักขึ้นดู โซอี้หน้าเบ้ทว่าหญิงวัยกลางคนในชุดแม่บ้านที่ยืนมองอยู่แทรกขึ้น
“เธอไม่ยอมให้ฉันตัดเล็บให้ค่ะ ร้องไห้บอกว่าจะให้แดดี๊กลับมาทำให้ท่าเดียว ฉันเลยต้องยอม”
“ทำไมลูกดื้อกับเลลานีล่ะคะ แบบนี้ไม่น่ารักเลย”
“เลลานีต่างหากที่ดื้อ เลลานีดื้อมาก หนูบอกว่าไม่ตัดๆ จาให้แดดี๊กลับมาตัด”
โซอี้เถียงเสียงแหลมเล็กแต่ภิณไลย์ญากลับมองว่านั่นช่างเป็นอากัปกิริยาที่น่ารักน่าชัง ลูกสาวของเขากำลังออดอ้อนพ่อเพราะนิโคลัสไม่ได้กลับมาหา เขาจะเข้าใจไหมว่ามันคือจริตของเด็กหญิงที่แค่อยากจะให้พ่อเอาใจเท่านั้น
“ผมของลูกก็...อืม...เหม็นมาก ลูกเล่นจนไม่ได้อาบน้ำใช่ไหม?”
“โซอี้ยอมอาบน้ำค่ะคุณผู้ชาย แต่...ไม่ยอมสระผม งอแงจะให้แดดี๊กลับมาสระผมให้”
“เธอก็เลยต้องยอมอีกสินะเลลานี...พระเจ้า”
นิโคลัสถอนหายใจ เขาส่ายหน้าไปมาแต่กลับมีรอยยิ้ม นั่นเป็นรอยยิ้มอ่อนหวานที่ภิณไลย์ญาเห็นมันครั้งแรก ผู้ชายเลือดเย็นอย่างเขารู้จักที่จะยิ้มอ่อนโยนอย่างนั้นหรือ แล้วชายหนุ่มก็แนบปากกับแก้มยุ้ยของโซอี้
“ไปอาบน้ำก่อนนะคะ ให้เลลานีสระผมให้ด้วยแล้วเดี๋ยวกลับมาให้แดดี๊กอด แดดี๊มีรางวัลจะให้หนูด้วย”
“จริงหราคะ...จริงหราคะแดดี๊...โอเคค่ะ”
โซอี้จีบนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเข้าหากันก่อนกระโดดลงจากตักของนิโคลัสอย่างว่าง่ายแล้ววิ่งหายเข้าไปในห้องด้านในโดยมีเลลานีเดินตามเข้าไปด้วย ภิณไลย์ญาชะเง้อมองตามก่อนหันกลับมายังเจ้าของใบหน้าคร้ามเข้ม
“โซอี้...เป็นลูกสาวของคุณ...”
หญิงสาวตั้งคำถามทว่านิโคลัสไม่ตอบแต่เขาทำให้เธอตกใจอีกครั้งด้วยการผุดลุกจากที่นั่งและเข้ามากระชากมือเรียวบางด้วยมือหนาหนักให้ร่างเล็กลุกขึ้น
“ตามผมมา”
“คุณจะพาฉันไปไหน...แล้วโซอี้ล่ะคะ”
“เธออยู่กับพี่เลี้ยง และสำหรับคุณ...เรายังมีข้อตกลงที่ต้องคุยกัน”
“ข้อตกลง...อุ๊ย!”
หญิงสาวไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกกระชากข้อมือให้เดินตามขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน เขาพาเธอมายังห้องหนึ่งและผลักร่างบางเข้าไปก่อนปิดประตูลงเสียงดัง
“นิโคลัส...”
“เรียกผมว่านิค!”
เขาลั่นเสียงและแสดงความเคียดขึ้งออกมาอีกครั้ง ช่างต่างไปตากเมื่อครู่ที่ทั้งอ่อนหวานอ่อนโยนราวเทพบุตร นิโคลัสกลายร่างเป็นจอมมารในชั่วพริบตา ชายหนุ่มจับไหล่บางของภิณไลย์ญาไว้แน่น เขาทำให้เธอทั้งตกใจและเครียดจัดอีกหน
“ที่ให้เรียกแบบนี้ไม่ใช่เพราะอยากจะแสดงความสนิทชิดเชื้ออะไรกับคุณหรอกเนเน่ แต่เพราะผมอยากให้คุณแสดงออกว่าเราเป็นมิตรกันเวลาอยู่ต่อหน้าโซอี้ก็เท่านั้น”
“คุณต้องการอะไรกันแน่! แค่อยากแสดงละครต่อหน้าลูกสาวว่าคุณเป็นผู้ชายแสนดีทั้งที่ไม่อยากญาติดีกับฉันอย่างนั้นหรือคะ”
“ผมแค่ต้องการเวลา”
ภิณไลย์ญาย่นคิ้วประหลาดใจก่อนได้คำตอบกลับมาเป็นเสียงห้าวหนักที่ยังจริงจังและดุดันอย่างทุกครั้ง
“เวลาที่คริสต์จะไม่ได้เห็นหน้าคุณ เวลาที่เขาจะได้มีความรู้สึกว่าคุณหายไปจากชีวิตและคนที่สำคัญที่สุดสำหรับคริสต์คือลาริสา”
“เวลาของฉันกับเขาหมดไปแล้ว” หญิงสาวเสียงเครือ “มันหมดไปตั้งแต่ที่ฉันสำนึกได้ว่าฉันกับเขาไม่คู่ควรกันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรทั้งนั้น”
“คิดว่าผมจะเชื่อคุณหรือไง ในเมื่อก่อนหน้านี้คุณพยายามติดต่อเขาและพยายามทำให้น้องชายของผมกลับไปหาคุณ”
“อย่ามาปรักปรำกันนะคะ คริสต์เป็นคนดี เขาแค่อยากรู้เท่านั้นว่าฉันเป็นยังไง”
“อ้อ...อยากให้เขารู้ใช่ไหมว่าคุณมันน่าสงสารและอ่อนแอมากแค่ไหนเวลาถูกผู้ชายทิ้ง มารยาหญิงมันก็มีเท่านี้ มีแค่อยากให้คนอื่นเห็นใจ บางทีอาจไม่จำเป็นต้องเป็นคริสต์ แต่เป็นผู้ชายคนไหนก็ได้ที่คุณพร้อมจะบากหน้าเข้าไปให้พวกมันปลอบด้วยเงิน!”