นักษัตผู้มาก่อนกาล

2549 คำ
" ซียี้...เหตุใดเจ้ารุนแรงกับผู้เฒ่านัก ?....หรือหลงลืมไปแล้วว่าใครสอนเจ้าเลี้ยงกวาง ปลูกดอกไม้ ..." เซียนโอสถฝืนยิ้มประจบประแจ้ง กล่าวเสียงใสทั้งที่มีเหงื่อชุ่มใบหน้า เอ ! .. เด็กสาวทำท่าครุ่นคิด พลางยกขลุ่ยมาตีบนฝ่ามือ ชั่วครู่จึงแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์โต้ตอบไป " บุญคุณย่อมต้องทดแทน มีความแค้นก็ต้องชำระ ! "...นางกล่าวหน้าระรื่นพลางยกขลุ่ยขึ้นตีก้นชายชราสองคราติดๆ โอ้ ย ย ย ! ....โอ้ ย ย ย… เสียงร้องของชายชราคละเคล้าเข้ากับเสียงหัวเราะของหลิวหงเหิน ที่กำลังยืนยิ้มเบิกบาน ใจมันคิดจะหยอกล้อกับเด็กสาวอีกสักครา เพราะแม้แต่คนโหดเหี้ยมอำมหิตเพียงนี้ นางยังกล้าเย้ยหยันมัน ช่างไม่กลัวฟ้ากลัวดินจริงๆ แต่แล้วหลิวหงเหินพลันต้องกลืนกินทุกถ้อยคำไว้สิ้น เพราะมันรู้สึกถึงอาการปวดแปลบขึ้นที่หน้าอกกระทันหัน ร่างกายมันผ่าวร้อนแล้วสลับกลับยะเยืกเย็นจนหนาวสั่น ซ้ำกระดูกทั่วร่างยังร้าวลั่นราวกับจะหักเป็นเสี่ยงๆ กระทั้งทั่วตัวมันสั่นสะท้านก่อนจะเซโอนเอน แล้วทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้นอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง " โอ้ยโย้ว ! ...เจ้าคนโฉดชุดคราม เป็นอะไรไป ! " เด็กสาวร้องแตกตื่น พลางเร่งรีบไปพยุงชายหนุ่มขึ้นจากพื้น " ผิดคำข้าเสียที่ไหนเล่าจอมยุทธหลิว อาจารย์ข้าไม่ได้มีกุศลจิตในการถ่ายทอดพลังปราณให้เจ้าหรอก" ความเจ็บปวดของชายหนุ่มเหมือนจะเพิ่มเป็นเท่าทวี เมื่อรู้ว่าตนเสียทีเฒ่าสารพัดพิษอีกครั้ง " เจ้าไม่สงสัยรึว่าเหตุใดอาจารย์ข้าถึงไม่ดูดพลังชีพของเจ้า ?....เพราะในตัวเจ้ามีลมปราณเย็นยะเยือกของฝ่ามือเหมันต์ทมิฬ ซ้ำยังมีพิษร้อนแรงของยาเม็ดอรุณอำพัน หากมันกลืนกินพลังวัตรเจ้า มีหวังธาตุไฟเข้าแทรกจนตกตายแล้ว ! "...เซียนโอสถเผยวาจากร้าว ทั้งที่ยังนอนแน่นิ่งไม่อาจไหวติง " มันเลือกที่จะถ่ายทอดพลังปราณให้เจ้า เพราะมันต้องการใช้พลังเข้าไประงับพิษชั่วคราว แต่เมื่อเจ้าขับเน้นลมปราณจนถึงขีดสุด พิษที่ถูกสะกัดกั้นจะถล่มทลายอย่างบ้าคลั่ง ดั่งทำนบเขื่อนแตก....นี่นับเป็นกลลวงยืมดาบฆ่าคน ไปพร้อมๆกับการใช้กลเสร็จศึกฆ่าขุนพลในเวลาเดียวกัน ....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทอดตาทั่วแผ่นดิน คงมีอาจารย์ข้าเท่านั้นที่กระทำเรื่องโหดเหี้ยมอย่างนี้ได้ "... หลิวหงเหินถอนใจเฮือกใหญ่...ทั้งศิษย์และอาจารย์อำมหิตไม่ต่างกันเลย ! " เจ้ายังไม่รีบคลายจุดให้ข้าอีก มีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถแก้ไขเจ้าได้ ! " เซียนโอสถกระยิ่มยิ้มอย่างได้เปรียบ ทว่าเสี้ยวอึดใจต่อมามันกลับต้องยิ้มข้าง เมื่อบังเกืดเสียงแกร่งกร้าวพุ่งทยานมากับร่างทมึน " เจ้าศิษย์เนรคุณ ! อย่าได้คิดหลบหนีไปที่ใดอีก " ถ้อยคำแผดก้องลอยละล่องไปกับเงาร่างที่โลดแล่นไปยังเก๋งหลังน้อย " มารดาระวังตัวด้วย ! " เด็กสาวร่ำร้องเตือน ก่อนจะเผ่นโผนติดตาม โดยมือซ้ายยังหิ้วหลิวหงเหินไว้แนบข้าง อีกมือของนางตวัดขลุ่ยพวยพุ่งลมปราณ กระแทกกระทั่นจนร่างผู้รุกรานปลิวกระเด็นเปลี่นทิศ ไปตกยังกอพุ่มดอกไม้ที่รายล้อม " หยุดมือไว้ซียี้ ! " จูกัดเฝิงหวงร้องปรามจากภายในเก๋งน้อย ก่อนจะเร่งเดินมายังร่างมอซอที่อยูในกอดอกไม้ " เอ๊ะ !...นี่เจ้าไม่ใช่เฒ่าสารพัดพิษนิ เจ้า เจ้า...เทพมรณะ ! เหตุใดเจ้ากลายสภาพเป็นแบบนี้ ! " เด็กสาวร้องเสียงลั่น เมื่อพบว่าคนที่นอนอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ เป็นชายชราร่างกายแห้งเหี่ยวย่นเหมือนซากไม้แห้งๆ ดูไปไม่คลับคล้ายมนุษย์อีกแล้ว " เฝิงหวงข้าพเจ้าไม่ได้ต้องการผิดคำพูด เป็นเพราะเฒ่าพิษมันผลักไสข้าเข้ามา.. .ข้าไม่ได้ผิดสัญญา ไม่มีเจตนาโดยแท้ " มันกล่าวแผ่วเบา คล้ายกำลังสิ้นเรี่ยวแรง มันคืบคลานด้วยแขนเดียว พาร่างผ่านดงดอกไม้ราวกับสัตว์เลื่อยคลานตะเกียกตะกายหนีชะตากรรม สายตาทุกคู่มองมันด้วยความสมเพชเวทนานัก แม้แต่หญิงผู้ชาญฉลาด ยังมองมันด้วยความโศกสลดกว่าครั้งใดๆ " ซ่งเซียงเอ่ย ! เหตุใดเจ้างมงายถึงเพียงนี้ ? " เฝิงหวงกล่าวอย่างหดหู่ ขณะก้าวลงจากเก๋งน้อยเดินตรงไปหามัน " เฝิงหวงเจ้าอภัยข้าแล้วใช่มั้ย เจ้ายอมพบหน้าข้าแล้ว ! " มันกล่าวตะกุกตะกักหอบแห้ง ราวกับจะขาดใจไปต่อหน้า " เหตุใดร่ำร้องขอแต่คำให้อภัยนัก ข้าจะอภัยเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าไม่เคยโกรธเคืองเจ้าเลย ! "... " เจ้าหมายความว่ายังไง ในเมื่อข้าทำเลวร้ายกับเจ้านัก เหตุใดเจ้าไม่โกจธเคือง ? ".. มันระร่ำระลักขยับปากสั่นเทา ลมหายใจรวยรินใกล้สิ้นไร้พลังชีพ " ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้ายึดถือเจ้าเป็นสหายเสมอมา เมื่อผู้คนมีน้ำมิตรให้กัน เรื่องบาดหมางเล็กน้อยใยต้องถือสา ! "... " สหายอย่างนั้นรึ ?....สหาย ส ห า ย ..." เทพกระบี่มรณะพูดเพ้อราวลอยละเมออยู่กับความสัมพันธ์ " ฮ่า ฮ่า ฮ่า ... เจ้าสมหวังแล้วใช่หรือไม่เทพมรณะ ครานี้สมควรให้ข้าสมปราถนาบ้างแล้ว ! " เสียงกระหึ่มดังฝ่าอากาศมากับเงาร่างปรมาจารย์พิษ อันละลิ่วล่องราวเหยี่ยวกระหายเหยื่อ ตรงเข้าคว้าตัวเซียนโอสถไว้ในอุ้งมือ ก่อนมันจะโฉบร่างพุ่งกายออกสู่ภายนอก " เจ้าศิษย์ชั่ว !....ถึงเวลาสะสางบัญชีของเราแล้ว " " ท่านจะฆ่าก็ฆ่าเถอะ ! ข้าหมดหนทางต่อกรกับท่านแล้วมารเฒ่า " " ฮ่า ฮ่า ฮ่า ... อย่าเพิ่งรีบตายนักศิษย์ชั่วช้า เรายังมีบัญชีที่ต้องคิดดอกกับเจ้าทีละเล็ก ทีละน้อย ฮ่า ฮ่า า ..." เสียงทะเลาะเบาะแว้งของทั้งคู่จางหายลับตาไปตามทางทอดยาว... เด็กสาวเบิกตาโพลง เมื่อเห็นทั้งคู่หายลับ เหมือนนางนึกอะไรขึ้นได้ " เฒ่าพิษเจ้าอย่างเพิ่งรีบไปนัก เจ้ายังไม่ได้ถอนพิษให้คนโฉดชุดครามเลย " นางร้องลั่นพลางคิดขยับตัวติดตาม แต่กลับต้องชะงักงันไปเมื่อมารดาร้องปราม " ไม่ต้องติดตามไปซียี้ ! " " แต่ !...ท่านแม่ เจ้าคนโฉดชุดครามมีอาการไม่ดีมากเลย ถ้าไม่รีบช่วยมีหวังมันล้มตายแน่แล้ว ! นางกล่าวตื่นตระหนก สายตาห่วงใยจับจ้องชายหนุ่มที่แนบข้างไม่วางตา " เด็กโง่ !...เจ้าหลงลืมไปแล้วรึว่าอีกสักประเดี๋ยวก็ยามอู่ ( เวลาเที่ยง ) แล้ว " ดวงตาเด็กสาวลุกวาว รู้สึกถึงความหวังทอประกายขึ้นมาเจิดจ้า " จริงด้วย ! ใกล้ยามอู่แล้ว เจ้ายังพอมีทางรอดอยู่นะเจ้าคนโฉด " นางกล่าวด้วยรอยยิ้มเบิกบาน จนเห็นรอยลักยิ้มตรงสองข้างแก้มบุ๋มบางๆ แม้หลิวหงเหินจะไม่เข้าใจว่ายามอู่ที่ทั้งคู่เอ่ยถึงคืออะไร แต่ก็ยินยอมพร้อมใจโค้งศรีษะรับ พลางมองไปตรงไหล่ตนที่ยังถูกเด็กสาวใช้แขนโอบไว้มั่น " ข้าสมควรดีใจใช่หรือไม่ " " ถูกต้อง ! เจ้าสมควรดีใจเป็นอย่างยิ่ง ! " " หากจะให้ข้าดีใจมากไปกว่านี้ ท่านสมควรปลดปล่อยข้าเป็นอิสระก่อนดีหรือไม่ " " จะให้ปล่อยเจ้าได้ยังไง เจ้าโง่เขลาขนาดนี้ ประเดี๋ยวก็โดนคนหลอกให้กินยาพิษอีกหรอก " ฮึ ฮึ...หลิวหงเหินหัวเราะย่างอับจนปัญญา....นี่ตนต้องมาถึงจุดให้เด็กสาวแรกรุ่นปกป้องคุ้มครองแล้วรึ... " ยาพิษก็กินไปแล้ว ถูกหลอกลวงก็ถูกหลอกแล้ว หน่ำซ้ำคนวางยายังเร่งจากไปไม่หวนกลับ มีอันใดให้ข้าต้องกลัวอีกเล่า " ร่างระหงต้องร่วงกระแทกพื้นทันทีที่กล่าวจบ เพราะเด็กสาวพลันปล่อยแขนจากการยึดเกาะมัน ทำให้ร่างอันอ่อนเปรียล้มครืนกระแทกพื้น ราวคนไร้กระดูก " เจ้านี่นับเป็นคนโฉดอันดับหนึ่งจริงๆ ไร้เรี่ยวแรงแล้วยังปากดี ...ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว ".... เด็กสาวกล่าวปั้นปึ่ง พลางเดินขึ้นเก๋งน้อยด้วยสีหน้าแง่งอนนัก ปล่อยทิ้งให้หลิวหงเหินค่อยขยับขึ้นนั่ง ใช้หลังพิงเสาเก๋งศาลาด้วยอาการกระปรกกระเปรี้ยไปทั้งร่าง จูกัดเฝิงหวงมองหนุ่มสาวแง่งอนกันด้วยแววตาสะทกสะท้อนใจ นางรู้สึกว่าตนทำร้ายบุตรีมากเกินไปแล้ว เด็กสาวอายุ16แต่ไร้สหายสักคน นอกจากสัตว์ป่าและเหล่าผู้เฒ่าแปลกประหลาดแล้ว ชายหนุ่มชุดครามคนนี้นับเป็นสหายคนแรกของบุตรีนางก็ว่าได้ เอาแต่กล่าวโทษเทพมรณะว่างมงาย หรือตนเองไม่ยิ่งงมงายกว่ามันมากมายนัก... เฝิงหวงเหลือบตามองสามีที่แน่นิ่งอยู่กลางดงดอกไม้ นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความจมปรักของตน... ทั้งๆทึ่เทพกระบี่บูรพาสามีนางสิ้นลมปราณไปนานแล้ว แต่นางยังใช้จักรกาลหยุดยั้งเวลาให้เชื่องช้า เพื่อประคองร่างกายของมันให้ดำรงค์คงอยู่ ความรักก่อให้นางสร้างเรื่องวิปริตผิดปกติ... ความรักเช่นนี้ไม่ต่างจากเชื้อโรคร้าย ที่แผ่กระจายกัดกร่อนใจไปทั้งชีวิต.... ความรักทำให้นางเห็นแก่ตัวถึงเพียงนี้ นางกักเก็บบุตสาวไว้ข้างกาย ทั้งๆที่สามีนางสั่งเสียไว้ก่อนสิ้นลมว่าให้ซียี้คืนสู่แผ่นดินใหญ่ โดยสามมีนางทั้งสั่งสอนเคล็ดวิชา ทั้งถ่ายถอดพลังฝึกปรือของมันให้บุตรีจนสิ้น มันหวังให้ซียี้เป็นจอมยุทธหญิงผดุงคุณธรรม ให้มีชื่อเลื่องลือทั่วหล้า แต่เพราะความยึดติดอันงมงาย จึงทำให้ทั้งหมดตกอยู่ในสภาพเช่นนี้... ดูเหมือนนางจะถูกคุมขังไม่ต่างจากซากชราที่นอนผะงาบๆเบื้องหน้าเลย นางเดินมาถึงร่างมันพลางเอ่ยด้วยเสียงเรียบๆ " หากวันนั้นท่านยอมตัดใจ ด้วยวรยุทธและจักรกาลที่ท่านมี ย่อมสร้างวีรกรรมให้สะเทือนฟ้าสะเทือนดินได้ แต่เพราะความยึดติดเพียงอย่างเดียว ที่ทำให้ท่านมีจุดจบเช่นนี้ " น้ำเสียงนางเริ่มสั่นเครือ มีน้ำใสๆเอ่อคลอหน่วยตา " เ ฝิ ง....ห ว ง....." ซากชีวิตปล่อยเสียงด้วยความยากลำบาก ราวกับลมหายใจจะมอดดับไปในทุกเวลา " เจ้ายังไม่เข้าใจอีกเหรอ ! ว่าเหตุใดข้าถึงให้เจ้าออกตามหาจ้าวจักรกาล ทั้งๆที่มันสถิตอยู่ในวังมังกรนี่เอง ที่ข้าทำเช่นนั้นเพื่อให้เจ้าออกไปสู่โลกภายนอก ไปสร้างวีรกรรมผดุงธรรม คิดไม่ถึงท่านกลับงมงายในสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ ข้าไม่อาจรักใครได้อีกนอกจากเจินเซิงตง.." "…...ส่วนเจ้าจะอย่างไรก็คือสหาย น้ำมิตรระหว่างสหายย่อมมีมากมายไร้ที่สิ้นสุด เหตุใดท่านไม่เปิดใจรับมันไว้ ".... เทพมรณะหัวเราะทั้งน้ำตา มีเสียงค๊อก ค๊อก ออกจากลำคอเป็นคำว่า... " ส ห า ย....ส ห า ย...." กระทั่งมันแข็งค้าง ลมหายใจสุดท้ายขาดสะบั่น ! จูกัดเฝิงหวงน้ำตาลินไหลให้กับซากศพมันอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเดินขึ้นสู่เก๋งน้อย แล้วจึงนั่งบรรเลงพิณเป็นทำนองเศร้าสร้อยลอยล้อในอากาศ " เจ้าคนโฉดเห็นหรือไม่ว่ามารดาข้าสยบวิชาดัชนีของเจ้าแล้ว ....ไม่ใช้ผู้หญิงทุกคนหรอกนะที่จะนอกใจเป็นอื่นไป " เด็กสาวโจนเข้ามานั่งย่องๆข้างหลิวหงเหิน แล้วกล่าวกับมันอย่างผู้มีชัย " เป็นผู้หญิงบางคน แสดงว่าไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนใช่หรือไม่ ? "... " เอะ ! เจ้านี่ยังปากดีอีกนะ ! "... ระหว่างทั้งคู่จะเริ่มต่อปากต่อคำอีกรอบ พลันต้องชะงักตาค้าง เมื่อเห็นจักรกาลบนหน้าผากของเทพมรณะแผ่สยายเงามืดขยายใหญ่ขึ้น ซ้ำมันยังหมุนวนแล้วลอยขึ้นพ้นหน้าผากมัน ลอยวนอยู่กลางอากาศชั่วครู่ ก่อนจะร่วงหล่นลงกับพื้น กลับกลายเป็นจักรโลหะสีดำสนิทดั่งเดิม ที่แท้จักรกาลสามารถถอนออกจากร่างกายง่ายดาย เมื่อผู้ครอบครองสิ้นลม... หลิวหงเหินคิดจะขยับไปดูจักรกาลใกล้ๆ แต่แล้วมันต้องกระพริบตาถี่ เพราะจักรกาลมันพลันหายวับไปกับตา " จักรกาลมรณะมีกลิ่นอายอาถรรพ์มากมายนัก แม้แต่เจ้ามุกสิกคลั่งรักยังไม่อาจครอบครองได้เนินนาน " เสียงแหลมเล็กเผ่นพลิ้วมาทางเก๋งน้อย เมื่อหลิวหงเหินมองตาม จึงได้พบชายชราร่างเล็กคล้ายเด็กอายุ10ขวบ หากแต่ผมเพ้าหนวดเคราขาวโพลนราวดอกเลาบานสะพรั่ง มันสวมชุดผ้าปอเนื้อหยาบสีน้ำตาลอ่อน มือข้างหนึ่งมันถือไว้ด้วยกระเช้าไม้ใส่อาหาร อีกมือถือจักรกาลมองพลิกไปพลิกมา แต่ที่หลิวหงเหินต้องเพ่งมองไม่วางตา เห็นจะเป็นเท้าเปล่าเปลือยอันเหี่ยวแห้งของมัน ที่มีจักรกาลสีเงินฝั่งอยู่บนหลังเท้าขวา... ...ที่แท้มันเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเกินสายตาจะมองเห็น แม้แต่การหยิบจักรกาลขึ้นจากพื้น กลับมองเป็นมันหายวับดั่งล่องหนได้ " เฒ่าวานรเหตุใดท่านมาแล้ว นี่ยังไม่ถึงยามอู่เลยมิใช่รึ ? "...เด็กสาวพวดพาดลุกขึ้นยืน กล่าวถามด้วยเสียงสดใส " อาหารต้องรับทานจะช้าจะเร็วย่อมต้องรับทาน คนจะไปจะช้าจะเร็วย่อมต้องไป คนจะมาจะช้าจะเร็วย่อมต้องมา "... เพียงสิ้นเสียงวกวนของมัน ร่างเล็กกระจ่อยก็พลันมาปรากฏยืนอยู่ข้างตัวหลิวหงเหิน โดยมีเพียงกระเช้าอาหารวางไว้บนเก๋งน้อยแทนตัว " คนหนึ่งจากไป ใยมีคนใหม่มาเพิ่ม เช่นนี้ข้าต้องทำอาหารเท่าเดิมละซิ ? "...มันเหลือกตาโปน มองหลิวหงเหินอย่างพินิจพิเคราะห์ " อาจไม่ต้องทำนานนักหรอก เพราะเจ้าคนโฉดชุดครามคงมีชีวิตอยู่อีกไม่กี่วันหรอก " เฒ่าวานรเดินวนมองไปรอบๆชายหนุ่ม ทำจมูกฟุตฟิตคล้ายกำลังดมกลิ่นความตาย " อาการไม่ดีงามจริงๆ ไม่ดีงามเลย! "... " เห็นมั้ยเล่า เจ้าคนโฉดนี้ถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่รู้ว่ารอดมาถึงตอนนี้ได้ยังไง "...เด็กสาวพูดพลางเดินควงขลุ่ยพลาง เข้าไปหาคนทั้งคู่ " เหมาะสมยิ่ง เหมาะสมยิ่ง ! " " มีอันใดเหมาะสมหรือเฒ่าวานร ? " " คนที่มีชะตากรรมบัดซบเช่นนี้ สมควรได้ครอบครองจักรกาลมรณะอย่างยิ่ง " หลิวหงเหินเหลือกตาสุดตกใจ ... " เอ๊ะ !...ท่านจะไม่ถามไถ่ข้าเลยรึ ว่าอยากเป็นเจ้าของจักรกาลหรือเปล่า ? "... เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก เฒ่าวานรแค่นหัวเราะเสียงแหลม ก่อนจะกล่าวสบายอารมณ์ " ไม่จำเป็น ไม่จำเป็น..." สิ้นเสียง เฒ่าวานรพลันตรงเข้าคว้าคอชายหนุ่ม แล้วเผ่นโผนไปราวสายฟ้าแลบผ่าน มันโจนทะยานขึ้นเบื้องบนมุ่งสู่วังมังกรบนยอดเขา ทว่าหลิวหงเหินกลับมองเห็นแต่ความพราวพราย ดาวระยิบวิบวับไปทั่ว จนไม่อาจจำแนกสิ่งใดได้แน่ชัด รู้สึกเพียงร่างกายมันเร่งความเร็วราวกับจะละเหยหายไปในสายลม..…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม