สายลมเย็นทำให้ใจร้อนรุ่ม กลิ่นไม้ดอกนานาพันธ์ผสมผสานให้บรรยากาศกลางป่าดงน่าฉงนฉงาย พอๆกับเรื่องราวในหัวอันปั่นปวน แปรปรวน จนฉางยิ่นรู้สึกหงุดหงิดไปในทุกฝีเท้าที่ก้าวเดิน…
ระหว่างทางที่ฉางยิ่นและหลิวหงเหินตกลงติดตามพวกพรรคฉลามเงินไปยังที่พักแรม ชายอ้วนกระวนกระวายจนคันคะเยอไปทั้งใจ ในที่สุดมันจำต้องถามไถ่สหายที่เดินเคียงข้าง
“ ปีศาจสุรา เจ้าว่ามีเงื่อนงำแอบแฝงหรือไม่ ? ” ฉางยิ่นขยับเข้าใกล้หลิวหงเหิน โดยรั้งฝีเท้าให้เชื่องช้า เดินรั้งท้ายตามชายฉกรรจ์ห่างๆ
“ เงื่อนงำอันใดหรือ ? ” หลิวหงเหินแสร้งถาม แต้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับรับมุมปาก
“ เจ้าเสแสร้งแกล้งโง่หรือไร เทพอสรพิษไม่มีทางมาผลุบโผล่ที่นี่แน่ มันเป็นชนชั้นปรมาจารย์ที่เรืองนามมาในยุคปรมาจารย์จางซานฟงนู้น ถ้ามันยังอยู่ถึงตอนนี้ มิมีอายุเกือบสองร้อยปีแล้วรึ ? ” ฉางยิ่นพยายามเค้นเสียงเบา แต่ความขุ่นเคืองยังลอยลอดออกตามไลฟัน
หลิวหงเหินชี้ไปที่หน้าอกฉางยิ่น พลางยิ้มร่าเริงกล่าวเสียงระรื่น
“ แล้วที่เจ้าพบพัคนารินเล่า นางมีอายุน้อยกว่าพวกเราเกือบพันปีได้ เหตุใดยังผลุบโผล่มาเจอกันได้ ”
“ ก็นางมาจากอนาคต มีเครื่องจักรแปลกประหลาดสามารถกระโดดข้ามเวลาได้ ”
“ อ้อ…เจ้าเชื่อคนรุ่นหลังเราเกือบพันปี แต่ไม่เชื่อชนชั้นปรมาจารย์อย่างนั้นรึ ”
“ นี่เจ้าก่อกวนข้าใช่หรือไม่….มาๆ มาลองวิชากันอีกสักท่าสองท่าประไร ! ” ฉางยิ่นพรุ่นพร่าน พลันตบไหล่หลิวหงเหินจนเสถลา ลงไปคุกเข่าลงกับพื้น
“ นี่เจ้าอาการย่ำแย่ถึงเพียงนี้ ? ” ฉางยิ่นสลับเปลี่ยนอารมณ์ทันทีทันใด เมื่อเห็นชายร่างระหงทรุดกายลงอย่างอ่อนเปรี้ย
“ ฝ่ามือเหมันต์ทมิฬของขันทีเฒ่าอายุหกสิบยังร้ายกาจขนาดนี้ แล้วกับยอดฝีมือรุ่นก่อนเล่า เจ้าคิดว่าจะมีวิชาลึกล้ำเพียงใด ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าซีดเซียว
“ ยังจะปากดีอีกเจ้าปีศาจสุรา …มาเร็วขึ้นหลังข้ามา ” ฉางยิ่นเร่งรีบหันหลัง แล้วแบกชายร่างระหงไว้
“ นี่พวกเจ้ามัวงุ่มง่ามแบบนี้ เมื่อไรจะถึงที่พักเล่า รีบวิ่งโดยไว ! ” ฉางยิ่นหันไปตวาดกับผู้นำทาง จนชายฉกรรจ์ต่างหน้าตาแตกตื่น เร่งรีบวิ่งตามฉางยิ่นอย่างลนลาน
แต่ยังเชื่องช้ากว่าชายอ้วน ที่โลดแล่นนำหน้า โดยไม่ใยดีว่าจะไปถูกทางหรือไม่ ร่างอ้วนใหญ่ลอยละล่องกลางพงไพร เคลื่อนผ่านทิวไม้ กิ่งสน พุ่งตรงไปยังทิศตะวันตก ไม่กี่อึดใจมันจึงล่อนละลิ่วลงพื้น หยัดยืนตรงหน้าปากถ้ำกว้างใหญ่
ทันใดนั้นมีชายฉกรรจ์หก-เจ็ดนาย กุมดาบถือขวาน กรูกันออกมาจากภายในถ้ำ
“ เจ้าเป็นใคร ? สังกัดสำนักใด ? มาที่นี่เพื่อสิ่งใด? รีบแจ้งมา ” หนึ่งในชายฉกรรจ์ตวาดถาม
พลอยให้หลิวหงเหินขบขันกับคำถามมัน ที่เหมือนรองหัวหน้ามันถามไม่มีผิด
“ เจ้ามาถูกทางแล้วจริงๆ พี่ฉางยิ่น ”
“ ต้องถูกทางแน่อยู่แล้ว ก็ข้ามาตามควันหุงหาอาหาร ทั้งจมูกทั้งตาข้ายังพอใช้งานได้อยู่หรอก ” ฉางยิ่นตอบอย่างภาคภูมิใจ
“ ยังพิร่ำพิไรอันใด ใยไม่ตอบคำ ” ชายฉกรรจ์หน้าปากถ้ำยังดุดันหุนหัน คิดลงไม้ลงมือ
ทว่ารองหัวหน้าพรรคถังหมิ่นได้วิ่งตามหลังมาร้องโวกเวก เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ได้ทันท่วงที
จากนั้นจึงเชื้อเชิญคนทั้งสองสู่ภายใน….
“ ปล่อยข้าลงได้แล้วฉางยิ่น ข้าหง่อยเปรี้ยเสียขาที่ไหนเล่า ” หลิวหงเหินกล่าวแผ่วเบา ขณะขยับตัวลงจากหลังชายอ้วน
แรกที่เข้าไปในถ้ำ รู้สึกถึงความร้อนผ่าวของฟื้นไฟ และกลิ่นยาลอยคละคลุ้งในอากาศ ผู้คนนับสามสิบชีวิตนั่งกระจายล้อมวงเล็กๆหลายกลุ่ม เหมือนพวกมันกำลังจัดสรรค์เตรียมยาจากพืชที่พบในเกาะ พอหลิวหงเหินเดินเข้าไปภายในเรื่อยๆ จึงได้พบกับหัวหน้าพรรคที่กำลังนั่งเหม่อลอย ราวหุ่นกระบอกไร้ชีวิต
“ เป็นจ้าวจักรกาลกระทำกับมันแน่แล้ว เจ้าว่าถูกต้องหรือไม่ ” ฉางยิ่นกระซิบถามเสียงแผ่ว
โดยหลิวหงเหินได้แต่พยักหน้ารับ ขณะตรวจดูอาการของหัวหน้าพรรค ซึ่งไร้การรับรู้ใดๆ
“ อย่าเสียเวลาไปคุยกับท่อนไม้เลยนายท่าน หากจะหาข้อเท็จจริงอันใด เขิญทางนี้เถิด ” คำเรียกหานั้นมาจากเด็กหนุ่มอายุ16-17 หน้าตาเกลี้ยงเกลา ดวงตาเปร่งประกายสุกปลั่งส่อแววฉลาดเฉลียวอยู่ไม่น้อย มันสวมชุดคลุมยาวแขนเสื้อกว้าง บนศรีษะสวมหมวกทรงเหลี่ยมแบบที่หมอยานิยมใส่ มันกำลังวุ่นวายกับความป่วยไข้ของชายสามคนที่ถูกตรึงด้วยเชือกอยู่ติดผนังถ้ำ
“ อ้อ…ท่านหลิวท่านฉางยิ่น ผู้นี้คือเซี่ยวลู่ เป็นหนึ่งในศิษย์ของเซียนโอสถ ท่านช่วยเหลือเยียวยาพวกเรามาตลอด นับจากพวกเรารู้ตัวว่าถูกพิษลอบใส่ ” รองหน้าพรรคกล่าวแนะนำเด็กหนุ่มอย่างพินอบพิเทา เกรงว่ามันคงมีบุญคุณกับพรรคฉลามเงินไม่น้อย
“ หมอน้อยเจ้าว่ามีอันใดทำให้เราเข้าใจ กว่าการดูหัวหน้าพรรคอย่างนั้นรึ ” หลิวหงเหินเอ่ยถามทันทีที่รู้จักชื่อเสียง
“ ดูท่าพี่ชายท่านนี้จะชมชอบหาความรู้อยู่ไม่น้อย มานี่ซิข้าพเจ้าจะอวดอาการแปลกประหลาดให้ท่านชม ” เด็กหนุ่มเชื้อเชิญหลิวหงเหินมายังคนทั้งสามที่ถูกมัดไว้แน่น
พวกมันทั้งสามต่างมีรูปลักษณ์ผิดแปลกจากมนุษย์ทั่วไป ผิวพวกมันตะปุ่มตะป่ำคล้ายคางคก ดวงตาแดงกร่ำ ปากอ้าค้างจนน้ำลายย้อย ทั้งหมดล้วนมีอาการคลุ้มคลั่ง กระตุกดิ้นลนหมายออกจากพันธนาการที่ร้อยรัด
" พวกนี้เป็นโรคอันใดกันแน่ ? ” หลิวหงเหินถามขึ้นด้วยความแปลกประหลาดใจ อย่างที่ไม่เคยพบเห็นในดินแดนใด
“ ในตำราหมื่นพิษของท่านอาจารย์ ได้กล่าวถึงการแพร่พิษอันลี้ลับที่สาปสูญไปหลายร้อยปี เล่าว่าพิษนั้นสามารถดลบันดาลให้คนกลายเป็นมนุษย์คางคก เสียจริตคลุ้มคลั่ง ร่างกายกระจายพิษโดยไม่อาจหยุดยั้ง เพียงสัมผัสก็จะถูกพิษให้กลายสภาพเป็นเช่นเดียวกับพวกมัน ในใต้หล้ามีเพียงเทพอสรพิษเท่านั้นที่แพร่พิษสุคนธรานี้ได้….มันเป็นพิษที่ร้ายกาจเหลือล้น ตั้งแต่ร่ำเรียนมา ข้าเพิ่งเคยเห็นกับตาก็ครานี้ ” เสียงมันออกจะชื่นชม มากกว่ารังเกียจเดียดฉันท์พิษอันอำมหิตชนิดนี้
“ แล้วเจ้าพวกนี้มันถูกพิษได้อย่างไร ? ” ฉางยิ่นพลันถามขึ้น ดวงตาส่อแววตกใจคล้ายนึกคิดอะไรออกกระทันหัน
“ ข้าพเจ้าพบมันแถวริมธารน้ำ พิษน่าจะอยู่บริเวณนั้นเป็นแน่ ”
คำตอบของเด็กหนุ่มทำเอาฉางยิ่นตาลุกโพลง ร้องขึ้นด้วยความตกใจ
“ ผิดท่าแล้ว ! อมิตาร์กับพัคนารินไปอาบน้ำในลำธาร ไม่ดีแล้ว ไม่ดีแน่ ! " ฉางยิ่นร้องลั่น ขณะวิ่งตะบึงออกจากถ้ำไป
โดยไม่ทันฟังคำทัดทานหลิวหงเหินที่กำลังจะกล่าวว่า …พวกนางไปอาบน้ำกัน อย่าเพิ่งผลีผลามเข้าไป ประเดี๋ยวก็ถูกฟันคอขาดกระเด็นหรอก….
“ เฮ้อ….นี้ถ้าศิษย์พี่ของข้ายังอยู่ สหายของท่านคงไม่ตื่นตระหนกปานนี้ ” เด็กหนุ่มทอดถอนใจกล่าว
“ อ้าว…ศิษย์พี่ของพวกท่านหาได้อยู่บนเกาะนี้หรอกหรือ คงเข้าแผ่นดินใหญ่ไปรักษาคนกระมั้ง ” หลิวหงเหินเอ่ยถามตามความสงสัย
“ หามิได้นายท่าน ศิษย์พี่ข้าพเจ้าอยู่ภายในถ้ำนี่ล่ะ เพียงแต่ เพียงแต่….” มันส่ายหัว สีหน้าสลดหดหู่นัก
“ ท่านตามข้าพเจ้ามาดูกับตาตัวเองเถิด ”…มันยันกายยืนขึ้น แล้วเดินนำหลิวหงเหินเข้าสู่ภายในถ้ำชั้นในสุด
ภายในนั้นมีร่างมนุษย์นอนยืดยาวอยู่9ร่าง พวกมันทั้งหมดล้วนมีผ้าคลุมปิดมิดชิดคลุมทั้งกาย เด็กหนุ่มตรงเข้าไปเปิดผ้าคลุม เผยให้หลิวหงเหินเห็นร่างกายที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
“ ก่อนเหล่าขาวยุทธจะมายังเกาะไม่กี่วัน ศิษย์พี่ทั้งเก้าของข้าก็มีสภาพแบบนี้โดยพร้อมเพรียงในเวลาเพียงข้ามคืน ”
หลิวหงเหินตะลึงมองศพทั้งเก้า ราวพบภูติผีร้ายในอดีต เพราะซากเหล่านั้นมีสภาพเข่นเดียวกับศพที่พบในเรือแพรพรรณยิ่ง
พวกมันมีผิวหนังเหี่ยวย่นแห้งกรัง ราวคนขราอายุร้อยกว่าปี แต่พอมันตรวจสอบข้อกระดูก จึงได้พบความแตกต่างจากศพในเรือแพรพรรณ เพราะศพทั้งเก้าล้วนมีกระดูกแตกหักเสื่อมสภาพแบบคนชรา แตกต่างจากร่างไร้วิญญาณในเรือแพรพรรณไปคนละทาง
“ หรือผู้กระทำจะเป็นคนละคน ? ” หลิวหงเหินบ่นอุ๊บอิ๊บกับตนเอง พลางไอแห้งๆด้วยรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกแล่นขึ้นมาถึงทรวงอก
“ เอ๊ะ !…พี่ท่านเหมือนจะถูกปราณเย็นแทรกแซงชีพจรใช่หรือไม่ ? " เด็กหนุ่มมีแววตาแหลมคมนัก เพียงเห็นอาการภายนอกก็ล่วงรู้ถึงความเจ็บปวดภายใน
“ หมอน้อยท่านมีความสามารถโดยแท้ ถูกต้องแล้ว ! ข้าพเจ้าถูกฝ่ามือเหมันต์ทมิฬฝาดใส่ เกรงว่าลมปราณเย็นยะเยือกแพร่ไปทั่วร่างแล้ว ”
“ ขออนุญาติผู้เยาว์ตรวจดูอาการพี่ท่านได้หรือไม่ ”
“ มีอันใดต้องขออนุญาติ เป็นข้าต้องร้องขอให้ท่านช่วยรักษาต่างหาก ” หลิวหงเหินพร้อมยื่นข้อมือส่งให้
เด็กหนุ่มน้อมกายจับชีพจรที่ข้อมือชายหนุ่ม จากนั้นจึงตรวจสอบรอยฝ่ามือตรงหน้าอก ก่อนจะส่ายหัวอย่างคนอับจนปัญญา
“ เป็นพลังปราณเย็นอันเหี้ยมโหดนัก ร่ำลือว่าชาวยุทธแดนซีเซี้ยเมื่อกาลก่อน ใช้พิษจากไหมน้ำแข็งช่วยฝึกปรือลมปราณจนกลายเป็นวิชาเหี้ยมโหดยากพบพาน คิดไม่ถึงจะร้ายกาจเพียงนี้ ” เด็กหนุ่มยังไม่วายกล่าวหลุ่มหลงในพิษประหลาด คงเป็นอุปนิสัยของผู้ร่ำเรียนในวิชาแพทย์กระมั้ง
“ ผู้น้อยไร้ความสามรถรักษา หากยังพอมียาบรรเทาอาการอยู่บ้าง ” มันกล่าวพร้อมหยิบขวดยาเคลือบเล็กๆออกจากอกเสื้อ ยื่นส่งให้ชายหนุ่ม
“ ยาสุริยะอำพันนี้ เป็นอาจารย์ข้าพเจ้าปรุงขึ้น มีสรรพคุณแผ่ไออุ่นให้ร่างกาย คงช่วยบรรเทาอาการหนาวเย็นในกายท่านได้บ้าง ”
“ ขอบคุณท่านมากแล้ว !”…หลิวหงเหินประสานมือคารวะ ก่อนจะหยิบขวดยาไว้ในมือ
พอเปิดขวดเทเม็ดยาออก จึงได้พบเม็ดยาลูกกลอนสีเหลืองอำพันขนาดเท่าเมล็ดส้ม มันส่งยากลืนลงคอแล้วจึงนั่งขัดสมาดโคจรลมปราณ ช่วยให้ตัวยาแพร่กระจายรวดเร็วขึ้น ชั่วครู่หลิวหงเหินจึงรู้สึกถึงไออุ่นค่อยๆกระจายไปทั่วทั้งร่าง
….ฉายาเซียนโอสถนับว่าตั้งได้ถูกต้องนัก… หลิวหงเหินคำนึงในใจ เมื่อรู้สึกว่าความเย็นในกายค่อยลดทอนลงที่ละน้อยๆ
มันโคจรลมปราณอยู่พักใหญ่ กระทั้งเกิดเสียงเอะอะหน้าปากถ้ำ พอมันเผยอเปลือกตามอง จึงได้พบความอึกทึกปะปนอารมณ์ดีใจเกลื่อนใบหน้าทุกผู้คน
“ เร็วเถิดถังหมิ่น รีบพาหัวหน้าพรรคท่านตามข้ามา มีหมอหญิงผู้วิเศษ ข่วยแก้ไขหัวหน้าพรรคข้าให้หายป่วยได้แล้ว ” ผู้ร้องเสียงลั่นเป็นลูกพรรคร้อยอาชา ที่เป็นพันธมิตรกับมันมาช้านาน
“ เจ้าว่ากระไรนะ มีคนรักษาหัวหน้าพรรคท่านได้อย่างนั้นเหรอ ? ” รองหัวหน้าพรรคเครารกหนา กล่าวด้วยความลิงโลดนัก
“ ถูกต้อง ถูกต้อง เร่งรีบเถิด เหล่าชาวยุทธล้วนมุ่งไปหานางกันหมดแล้ว ”
“ ไป ไป พวกเรารีบไป ”
เพียงสิ้นเสียง ทุกผู้คนล้วนกุลีกุจรออกจากถ้ำไป โดยมีถังหมิ่นแบกหัวหน้าพรรคขึ้นหลัง วิ่งตะบึงนำหน้าไปก่อน
ทิ้งไว้เพียงหลิวหงเหินกับหมอน้อย ที่ยังยืนเวิ้งว้างภายในถ้ำ
“ ท่านไม่ไปชมดูหมอวิเศษหรือ หมอน้อย ? " หลิวหงเหินหันมากล่าวกับเด็กหนุ่ม
โดยหมอน้อยเพียงอมยิ้มพราย ก่อนจะหันไปมองผู้ป่วยสามคนที่ถูกมัดแน่นไว้กับผนังถ้ำ
“ หากข้าพเจ้าไป จะมีผู้ใดดูแลคนไม่ได้สติพวกนี้เล่า ? ”
“ ไม่ทอดทิ้งคนป่วยไข้ สมเป็นหมอโดยแท้แล้ว ” ขายหนุ่มกล่าวพลางยกนิ้วโป้งให้
“ ถ้าเข่นนั้นข้าไปชมดูชั่วครู่ แล้วจะกลับมาบอกเล่าให้ท่านฟังดีหรือไม่ ” หลิวหงเหินกล่าวแย้มยิ้ม รู้สึกชื่นชมเด็กหนุ่มผู้นี้ขึ้นมาอย่างจริงใจ
“ ข้าพเจ้าจะรอคอยทีนี่ ไม่หนีหายไปไหนแน่ ”
……………..
หลิวหงเหินเดินฝ่าพงไพรไปตามรอยเท้าที่ทิ้งไว้เป็นทาง ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็บรรลุถึงจุดหมาย
ที่ซึ่งเป็นแหล่งน้ำใหญ่ มีน้ำตกไหลพรากตกเซาะโขดหิน ใต้ม่านน้ำตกยังมีโพรงถ้ำใหญ่ซ้ำยังมีโขดหินเรียงเป็นแถวยาว โดยมีเหล่าชาวยุทธยืนชุมนุมหนาแน่น หากไม่สามารถลุกล้ำเข้าภายในถ้ำได้ เพราะมีฉางยิ่นยืนขวางเป็นทวารบาลยักษ์ขมึงทึง จนไม่มีผู้ใดกล้ารุกล้ำกร้ำกราย….
ไม่ทันที่หลิวหงเหินจะไปถึงเชิงน้ำตก พลันเกิดเสียงกระเดื่องดังก้องแนวป่า พร้อมกับร่างชาวยุทธแปด-เก้าคนโลดแล่นเหนือแมกไม้ พวกมันกระโจนลงยังเนินดินทางขึ้นโขดหินใหญ่
“ เจ้าสำนักคงท้งมาเยี่ยมเยือน เรียนเชิญหมอวิเศษข่วยบำบัดเยียวยาด้วยเถิด ” ผู้กล่าวเป็นชายร่างลำสัน หนวดเคราสีขาวยาวถึงอก นัยน์ตามันลุกโพลงดั่งเรืองไฟโชติช่วง
มันยืนอยู่หน้าชายฉกรรจ์แปดคน มีหนึ่งผู้อาวุโสนั่งอยู่บนเกี้ยวห้าม เกรงว่ามันคงเป็นเจ้าสำนักใหญ่อันกระเดื่องดัง หากเพียงบุคคลิกอันนั่งเหม่อลอย ดูจะผิดแปลกจากตำแหน่งที่มันดำรงค์รักษาอยู่ไม่น้อย
“ สำนักคงท้งแล้วเป็นอันใด เหตุใดต้องให้หมอไปรักษาถึงที่ด้วย ” คำพูดก่อกวนนั้นย่อมมาจากปากฉางยิ่น ที่มีความสามารถปั่นปวนประสาท หาเรื่องตีต่อยได้ทุกสถานการณ์
ซึ่งมันกระตุ้นโทสะได้สมใจนัก เพราะชายทั้งเก้าแห่งคงท้งล้วนมีสีหน้าขุ่นเคือง ดวงตาขวางเขม้งราวสัตว์ร้ายจ้องมอง
ทว่าชายเครายาวที่กล่าวก่อนหน้า ได้ยกมือห้ามปราม ผู้คนจึงหยุดการเคลื่อนไหวไป จากนั้นมันจึงกล่าวทุ้มต่ำแฝงพลังลมปราณกล้าแกร่ง เหมือนจะอวดโอ่สยบฝังตรงข้ามไว้
“ ข้าพเจ้าเทียนหลังซู่ ผู้คุมกฏแห่งสำนักคงท้ง ได้พาเจ้าสำนักที่บาดเจ็บมาเยียวยาจากแดนไกล เจ้าสำนักเราไม่สะดวกขึ้นโขดหิน เรียนเขิญท่านพาหมอวิเศษมาดูอาการสักคราเถิด ”
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ..” เสียงหัวเราะก้องกัมปนาท แฝงลมปราณทรงพลังเข้าหักล้างลมปราณก่อนหน้า จนเกิดเป็นแรงกระเพื่อมไหวในสายน้ำ
หลังเสียงหัวเราะ ชายอ้วนใหญ่ลอยละล่องฝ่ากลุ่มคน ล่อนลงตรงหน้าชายเครายาวอย่างเหี้ยมหาญ จนผู้คนรอบข้างรู้สึกถึงพลังลมแผ่กระจายทั่วบริเวณ
“ ข้าพเจ้าฉางยิ่น ผู้ไร้กฏ ไร้สำนัก ไม่สะดวกพาหมอวิเศษลงจากโขดหิน หากพวกท่านไม่สะดวกขึ้นไป ก็เขิญกลับไปเถิด ” ฉางยิ่นจงใจกล่าวล้อเลียน ใบหน้าอวบอูมของมันเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มยียวน
หากเทียนหลังซู่เป็นชาวยุทธที่คร่ำหวอดกับการต่อสู้มาช้านาน ไหนเลยจะเสียอารมณ์สุขุม เพียงเพราะวาจาไม่กี่คำ
“ ที่แท้ท่านคือฉางยิ่น หมูป่าเขี้ยวโลหิต แห่งพรรคแปดขุนเขา …ข้าพเจ้าเคยไปเยี่ยมเยือนหัวหน้าพรรคท่านอยู่คราหนึ่ง ไม่ทราบท่านผู้อวุโสสบายดีหรือไม่ ” มันน้อมกายคารวะ หากวาจาแฝงแววแดกดันข่มขวัญอยู่หลายส่วน
เพราะคำว่าเยี่ยมเยือนหัวหน้าพรรค นั้นคือนัดหมายประลอง ที่ครั้งนั้นเพลงหมัดของคงท้งมีชัยเหนือหัวหน้าพรรคมันได้อย่างหมดจรด
ฉางยิ่นหาใช่คนที่เก็บอาการให้สุขุมได้ มันจึงตวาดก้อง สองมือกุมหมัดแน่น กลายเป็นคนถูกยั่วยุเสียเอง
“ เป็นท่านนี่เองเทียนหลังซู่ นิ้วทองแดงหมัดเหล็ก …ที่แปดปีก่อนท้าประลองกับประมุขพรรคข้า ใช้หมัดแมวตาบอดสามขา ชกต่อยสะเปะสะปะจนชนะได้เพียงครึ่งท่า ยังมีหน้ามาโอ่อวดอันใด ” มันยังไม่วายกล่าวสบประมาท
หากครานี้ชายอ้วนเหมือนจะกระตุ้นถูกจุด เพราะชนชั้นผู้อาวุโสไหนเลยจะถูกประนาม ลดชั้นยอดวิชาได้
“ เกรงว่าเพลงหมัดท่าน คงเลิศล้ำกว่าหัวหน้าพรรคหลายเท่า คงต้องรบกวนให้ท่านชี้แนะสักหลายกระบวน ” ชายเครายาวสะบัดชายผ้า ผายมือเขิญชวนให้ลงมือ
ฉางยิ่นกระหยิ่มยิ้มพึงพอใจ เหมือนมันเกิดมาเพื่อก่อวิวาทโดยเฉพาะ
" ผู้เฒ่า !…เตรียมรับมือ !….”