บทที่ 1/3 สุดแค้นแสนรัก

1277 คำ
“เลิกแต่งเรื่องมาหลอกฉันซะที เธอก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่จริง ก่อนไปโรมฉันก็ย้ำกับเธอว่าให้รออยู่ที่นั่น แต่พอฉันกลับมา กลับเจอเพียงจดหมายสั่งลา ฉันอยากจะรู้นักว่าผู้ชายที่เธอหนีไปกับมัน มันเป็นใครกัน! แล้วเธอไปรู้จักกับมันตอนไหน ทำไมฉันถึงไม่เคยระแคะระคายเลย ให้ตายสิ!” โจนาธานทุบพวงมาลัยด้วยมือข้างหนึ่ง เสียงหัวเราะเย้ยหยันจากร่างบางดังมาพร้อมกับเสียงสูดน้ำมูกของหล่อน นิลอรกำลังหัวเราะเยาะเขาทั้งๆ ที่หล่อนกำลังมีหยาดน้ำตา หมายความว่าอย่างไร “งั้นเหรอ ฉันนี่นะมีคนใหม่ แล้วฉันนี่นะจะกล้าหนีมาจากกองเงินกองทองของคุณ? เพราะอะไรล่ะ เพราะผู้ชายคนหนึ่งที่คุณอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปรักปรำฉันอย่างนั้นเหรอ มีสมองหรือเปล่าฮะตาแก่!” นิลอรพ่นวาจาต้องห้ามสำหรับหนุ่มใหญ่ใส่รูหูเขาไปเต็มๆ อายุอานามที่มากกว่าสาวเจ้า ทำให้โจนาธานเคยนึกรันทดใจอยู่เนืองๆ และพอเวลานี้ที่หล่อนเอ่ยย้ำถึงความมากวัยของเขาอีกครั้ง อารมณ์โกรธเกรี้ยวที่มีจึงเพิ่มพูนทับถมจนเขาแทบจมความแก่อยู่รอมร่อ “ปากคอนี่ร้ายขึ้นมากโขเลยนะแองจี้” “อย่ามาเรียกฉันว่าแองจี้นะ! ตาแก่บ้ากาม!” นิลอรสาดเสียงกลับไปอย่างไม่แคร์ เธอทนเจ็บมามากแล้ว และคงได้เวลาทวงคืนความแค้นเสียที ถ้าเขากลับมาหนนี้เพื่อย่ำยีหัวใจกันอีกละก็ เธอรับรองว่าจะควักเอาหัวใจเขามาสับเป็นชิ้นๆ แน่นอน “ทำไม! หรือว่าสี่ปีที่ผ่านมามันทำให้เธอลืมอาชีพที่สองของตัวเองแล้วเหรอ เมื่อก่อนก็ออกจะชอบนี่นาเวลาที่ฉันเรียกเธอว่าแองจี้น้อยอย่างโน้นอย่างนี้ อย่าทำเป็นลืมหน่อยเลย” “ฉันไม่ได้ลืม! แต่ไม่เคยจำต่างหาก ช่วยไม่ได้ในเมื่อวันเวลาช่วงนั้นมันไม่มีอะไรสำคัญมากพอให้ฉันเก็บไว้ให้รกสมอง” โต้คืนเข้าอย่างมั่นอกมั่นใจ ไม่ได้เกรงกลัวเขาเลยในข้อนี้ เพราะเธอเฝ้าย้ำกับตัวเองอยู่ทุกนาทีว่าเรื่องราวในตอนนั้นไม่สลักสำคัญจริงๆ แม้ว่ามันจะบันดาลให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นมาบ้าง แต่เธอก็ไม่ต้องการจดจำว่าใครกันทำให้มันเกิดขึ้น และใครกันที่ทำให้หัวใจอ่อนบางข้างในอกต้องเจ็บปวดมีรอยแผล “หึๆ ขอให้จริงเถอะ” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำคอของบุรุษวัยสี่สิบเศษ ประหนึ่งเยาะเย้ยนิลอรอยู่ในที แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ตอบโต้ เธอจะรอให้ถึงคราวของตัวเองแล้วจะรอดูซิว่าเขาจะทำหน้าอย่างไรเมื่อเจอเข้ากับ ‘สุดที่รัก’ ของเธอ เกือบหนึ่งชั่วโมง ที่โจนาธานพารถยนต์แล่นฝ่าการจราจรอันติดขัดเพราะหยาดพิรุณ เพื่อพานิลอรมายังบ้านไม้สีขาวขนาดน่ารักไม่ใหญ่ไม่โต ด้านหน้านั้นถูกดัดแปลงเป็นอาคารรูปทรงคล้ายตึกสี่เหลี่ยมทรงสูง บุผนังเป็นกระจกโดยรอบ มีโต๊ะเก้าอี้วางอยู่ด้านในร้านราวๆ ห้าถึงหกชุดด้วยกัน แน่นอนว่าคะเนด้วยการมองผ่านๆ เพียงแวบเดียว ‘...ดุจรักแท้...’ โจนาธานขานชื่อร้านอยู่ในใจ เขาไม่ค่อยสันทัดภาษาไทยมากนักแต่ก็พอเดาได้ว่าชื่อร้านคงหมายถึงความรักกระมัง โทนสีขาวและชมพูที่ใช้เป็นสีหลักของร้านทำให้คนมองรู้สึกได้ถึงความรักอันอ่อนหวาน แม้ว่าไม่ได้เข้าไปนั่งในร้านก็ตามที กุหลาบหลากสีที่ปลูกใส่กระถางตั้งวางไว้ตามระเบียง กำลังออกดอกงดงามแข่งกับพระจันทร์ในยามราตรี มันทำให้เขานึกถึงคฤหาสน์โบราณในแถบยุโรปที่มักมีกระถางดอกกุหลาบปลูกไว้ใต้หน้าต่าง ให้พวกมันเจริญเติบโตแล้วพากิ่งก้านสาขาพันเลื้อยไต่ขึ้นหลังคา ความจริงแล้วการตกแต่งของร้านแห่งนี้เหมือนบ้านตุ๊กตาชัดๆ ตอนนี้ร้านปิดทำการแล้ว มีเพียงดวงไฟดวงใหญ่ส่องแสงสีเหลืองนวลเปิดไว้พอให้เห็นป้ายชื่อร้านเท่านั้น “ร้านเธอน่ารักดี” เขาเอ่ยชมด้วยความจริงใจก่อนจะดับเครื่องรถยนต์เมื่อถึงบริเวณที่นิลอรบอกว่าให้จอดตรงนี้ได้ ภายในรั้วบ้านไม่กว้างขวางมากนักแต่ก็เป็นสัดส่วน เห็นได้จากโรงรถเล็กๆ ที่เขาเพิ่งเคลื่อนรถเข้าไปจอด มันซ่อนอยู่ใต้ถุนของร้านกาแฟพอดิบพอดี “ขอบคุณ ก็เจ้าของร้านน่ารักขนาดนี้ ร้านก็ต้องสวยอยู่แล้ว” “หึๆๆ ไม่มีถ่อมตัวเลยนะแองจี้” โจนาธานส่ายหน้าอย่างระอา นิสัยเด็กๆ ของนิลอรยังปรากฏให้เขาสัมผัสได้แม้ว่าวัยของหล่อนจะเลยคำว่าเด็กแล้วก็ตาม หญิงสาวเบะปากให้เมื่อหนุ่มใหญ่ค่อนขอดแกมประชด เธอฉวยกระเป๋าถือแล้วก้าวลงจากรถทันที เพราะเวลานี้เลยเวลามามากโขแล้ว สองมือจำต้องยกกระเป๋าถือขึ้นกางกั้นหยาดพิรุณที่ยังโปรยปราย แม้ไม่หนักหนามากนักหากเทียบกับตอนที่ออกมาจากโรงแรมแต่ก็สามารถทำให้เธอเป็นไข้นอนซมเอาได้ เพราะฉะนั้นป้องกันไว้เป็นดี แล้วนั่นไง นาฬิกามีชีวิตของเธอเดินหน้ามุ่ยออกมาทวงเวลาที่เธอทำหล่นเรี่ยราดระหว่างทางเข้าให้แล้ว นิลอรเดินตรงรี่เข้าไปนั่งยองๆ ที่หน้าประตูบ้าน เพื่ออ้าแขนรอรับร่างเล็กๆ ของ ‘บุตรชาย’ ที่โถมเข้ามาหา ทั้งสองทั้งกอดทั้งหอมกันอยู่ครู่หนึ่ง ฝ่ายหนุ่มน้อยจึงได้ผละออกแล้วทำตามสิ่งที่ตนได้ตั้งใจไว้ “มามี้มาฉาย เจคโป้งมามี้ ม่ายลักมามี้แล้ว!” หนุ่มน้อย เจค็อบ หรือ เจค วัยสามขวบเศษ บ่นมารดาเล็กน้อยที่กลับบ้านไม่ตรงเวลา ปล่อยให้เขาต้องทนอยู่กับพี่เลี้ยงสาว ที่คงเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นตุ๊กตาที่เจ้าหล่อนมีหน้าที่จับอาบน้ำแต่งตัวป้อนข้าวป้อนนม “โอย...ขอโทษคร้าบคนเก่ง มามี้ขอโทษน้า แบบว่าวันนี้มามี้ไปเจอเพื่อนมาครับเลยมาสายนิดหน่อย” นิลอรแก้ต่างกับบุตรชายทั้งๆ ที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีวันเชื่อหรอก เจค็อบฉลาดเกินกว่าจะโป้ปดว่าเชื่อในสิ่งที่มารดาแก้ต่างให้ตัวเอง “ม่ายเชื่อ มามี้นัดหนุ่มใช่ปะ เจคงอนจริงๆ ด้วย ฮึ!” หนูน้อยย่นยู่จมูกใส่มารดา ริมฝีปากล่างถูกดันขึ้นมาแทบจะชนปลายจมูกโด่งคมโดดเด่นของเขา นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลมีหยาดน้ำใสแวววาวเจืออยู่ “มามี้เปล่าน้า เพื่อนก็เพื่อนสิเอ้า” นิลอรพยายามอธิบาย บทจะงอนขึ้นมาละก็พ่อลูกชายง้อเท่าไหร่ก็ไม่หายหรอก “ม่ายเชื่อ เจค...เจค...” หนุ่มน้อยที่จ้อเก่งเกินอายุหยุดพูดกะทันหันเมื่อเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่เดินเข้ามายืนอยู่ด้านหลังมารดา อะไรก็ไม่สะดุดตาเท่ากับนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลของคนที่ยืนอยู่ “เดี๋ยวนี้พาหนุ่มเข้าบ้านนะ เจ้!” หนุ่มน้อยเปลี่ยนจากมามี้เป็น เจ้ ตามที่สาวๆ ในร้านกาแฟเรียกเมื่อเห็นคู่เดตคนล่าสุดของมารดา “โอ๊ย! ลูกฉัน! ชักจะแก่แดดขึ้นทุกวันแล้วนะ เฮ้อ!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม