เด็กชายยืนตะโกนด่าไล่หลังพลางหัวเราะอย่างสะใจ ก่อนจะหันมายิ้มขอบคุณเจียวอิง “ขอบคุณท่านขันทีที่ช่วยเหลือ ท่านตาแหลมยิ่งนัก มองออกว่าข้าเป็นแขกคนสำคัญของวังหลวง”
เจียวอิงตอบทันควัน “ดูจากการแต่งตัวของเจ้า เห็นได้ชัดว่าเป็นคนจากชนเผ่าทุ่งหญ้า คงติดตามท่านพ่อท่านแม่หรือคณะนักเดินทางมาสินะ แล้วก็คง...ตื่นตาตื่นใจกับเมืองหลวงจึงหนีออกมาเดินเล่นคนเดียวหรือไม่ก็หลงทาง”
เด็กชายจ้องเจียวอิงตาเป็นประกายอย่างเลื่อมใส “ท่านขันทีช่างฉลาดนัก ถูกต้อง! ข้าหนีออกมาเที่ยวจริงๆ แต่พลัดหลงกับผู้ติดตามแล้วถูกชายสองคนนั้นบังคับจะขู่เอาเงิน”
“คงเห็นเจ้าเป็นคนต่างถิ่นเลยหวังจะกลั่นแกล้งกระมัง เอาเป็นว่ารีบกลับเถิด คนเยอะขึ้น พวกโจรขโมยก็เยอะเช่นกัน”
เจียวอิงบอกลาเด็กชายและวิ่งตรงไปยังเกวียนขนของที่ทหารยามกำลังตรวจตราความเรียบร้อย ด้วยเพราะมีคนเข้าออกจำนวนมาก ทหารยามจึงละเลยที่จะตรวจคนเข้าออกอย่างละเอียด เห็นเจียวอิงใส่ชุดขันที ทำท่ามองเกวียนขนของอย่างพินิจพิเคราะห์ ก็เข้าใจผิดคิดว่าถูกส่งมาช่วยตรวจความเรียบร้อยของข้าวของที่ส่งมาร่วมงานเลี้ยง
เจียวอิงลอบยิ้มให้กับความฉลาดของตัวเอง ขณะแฝงตัวเข้ามาในวังได้สำเร็จ เจ้าตัวก็ถึงกลับยืนตกตะลึงงันกับสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เบื้องหน้า
พระราชวังจีนโบราณที่เคยอ่านผ่านตัวหนังสือ บรรยายถึงความยิ่งใหญ่และทรงอำนาจของผู้นำแคว้น หญิงสาวได้แต่พร่ำจินตนาการว่ามันจะสวยงามและใหญ่โตเพียงใด วันนี้นางได้มาเห็นต่อสายตาตัวเองแล้ว
ทางเดินสลับซับซ้อน มีกำแพงสีแดงกั้นไว้ทั้งสี่ด้าน ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในเข้าวงกตก็มิปาน
งานเลี้ยงถูกจัดที่วังหน้าซึ่งอยู่ทางทิศใต้ เจียวอิงเดินตามกลุ่มขันทีที่บังเอิญเจอระหว่างทาง กระทั่งไปโผล่อยู่ในโถงพระโรงในตำหนักแห่งหนึ่ง ผู้คนมากหน้าหลายตากำลังร่วมดื่มและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ครั้นมองสูงขึ้นไป บนบัลลังก์สีเหลืองทองอร่าม ยังไม่พบผู้ใดนั่งอยู่บนนั้น ไม่แน่ว่าแขกคนสำคัญของงานอาจจะปรากฏตัวช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินก็เป็นได้
“นี่เจ้า! เจ้าซื่อบื้อที่อยู่ตรงนั้น”
เจียวอิงหันซ้ายแลขวาก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“เออ เจ้านั่นแหละ มาช่วยข้าทางนี้หน่อย”
คราแรกเจียวอิงตั้งใจจะแฝงตัวอยู่ในงานเพื่อรอเจอหมิ่งจิ้นเหอ จากนั้นจึงจะลากตัวเขาออกจากงาน ขัดขวางการพบเจอระหว่างตัวร้ายและนางเอก
“ยามซวี[3]จะมีการจุดดอกไม้ไฟเฉลิมฉลอง เจ้าคอยประจำอยู่ตรงนี้ พอได้สัญญาณจากข้าก็จุดไฟตรงเชือกเส้นนี้ได้”
เจียวอิงผงกศีรษะ เมื่อหัวหน้าขันทีเดินไปไกลแล้ว จึงหันมองรอบตัว เห็นว่าที่ที่ตนอยู่คือสะพานกลางสวนดอกไม้ขนาดมหึมา ข้างล่างมีลำธารขนาดใหญ่ไหลผ่าน ถัดจากนางไปหนึ่งช่วงตัวก็จะมีขันทีคนอื่นยืนประการอยู่แต่ละจุดเช่นกัน
เจียวอิงพ่นลมหายใจ หากเอาแต่ยืนอยู่ตรงนี้จะได้เจอกับหมิ่งจิ้นเหอได้อย่างไร แต่ครั้นจะเดินออกไป หัวหน้าขันทีที่ยืนจับตาดูอยู่ตรงหอคอยสูงก็จะผิดสังเกตเอาได้
เจียวอิงนั่งลงกับพื้นคอยเวลาอย่างไม่มีทางเลือก สัปหงกอยู่นานกระทั่งได้ยินเสียงครื้นเครงดังขึ้น เจียวอิงดีดตัวลุกโดยเร็ว หันมองไปตามเสียงพบว่าฝั่งตรงข้ามตนซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร มีที่นั่งชมดอกไม้ไฟคล้ายศาลาถูกจัดไว้ด้วย
หัวหน้าขันทีสั่งให้ทุกคนรีบเข้าประจำที่ รอสัญญาณ พร้อมสั่งคนให้นำคบเพลิงไปมอบให้ขันทีแต่ละคน
เจียวอิงรับคบเพลิงมาแล้วก็หันกลับไปสังเกตกลุ่มคนชั้นสูงที่นั่งอยู่ตรงศาลาต่อ
พื้นไม้ถูกจัดให้มีสามระดับ พื้นที่ยกสูงที่สุดเป็นของบุรุษผู้สวมใส่อาภรณ์สีเหลืองทองลายมังกรดูน่าเกรงขาม ใบหน้าแม้แย้มยิ้มแต่เห็นได้ชัดว่าเหนื่อยล้าเหลือทน เขาเอนกายพิงพนักเก้าอี้ ทางด้านข้างมีสตรีผู้หนึ่งสวยสง่างดงามดูอ่อนเยาว์กว่าบุรุษอยู่มาก นางสวมใส่ชุดสีเหลืองปักลายหงส์และบุปผาหลากชนิด คอยยืนดูแลบุรุษไม่ห่างกาย
ส่วนพื้นที่ต่ำลงมาจะเป็นของเหล่าราชวงศ์คนอื่น เหล่าสนม องค์ชายองค์หญิง และระดับล่างสุดคือบรรดาแขกเหรื่อหรือขุนนางที่มาร่วมงาน
“นี้ๆ นั่นอ๋องแปดใช่หรือไม่ หายากนักจะได้เห็นท่านอ๋องออกงานใหญ่เช่นนี้”
“จริงด้วยสิ เอ๊ะ! แล้วที่เดินมาด้วยกันคือใครน่ะ ข้าไม่ยักเคยเห็นหน้า”
เจียวอิงที่ได้ยินขันทีสองคนกระซิบกระซาบกันก็รีบชะเง้อคอมองทันที ครั้นภาพตรงหน้าปรากฏชัดขึ้น หัวใจของนางพลันดิ่งวูบ
บุรุษหล่อเหลาคมคายคือหมิ่งจิ้นเหอ เขาดูเด่นสง่านักยามยืนอยู่รวมกับเหล่าสมาชิกราชวงศ์ กลิ่นอายความสูงส่งของเขายิ่งแผ่กระจายจนคล้ายกำลังมองดวงจันทร์ที่สุกสว่างอยู่บนนภากว้าง ยากนักที่คนธรรมดาเช่นนางจะเอื้อมมือไปถึง
ส่วนสตรีที่อยู่ข้างกัน เรียกได้ว่าโฉมสะคราญจนไม่อาจละสายตา ใบหน้างดงามดุจภาพวาด ดวงตาใสซื่อดุจกวางตัวน้อย เรือนร่างสูงเพรียวตรงตามค่านิยมสตรีโบราณ ยามยืนเคียงข้างบุรุษที่ได้ชื่อว่าหล่อเหลาที่สุดของเมืองหลวง คล้ายคู่แต่งงานใหม่ก็ว่าได้
เจียวอิงรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจยิ่ง แม้ไม่รู้แน่ว่าทั้งสองมีสัมพันธ์กันอย่างไร แต่ในใจนางกลัดกลุ้มรุ่มร้อนราวถูกแผดเผาด้วยไฟที่มองไม่เห็น
เจียวอิงเห็นสตรีนางนั้นกล่าวอะไรบางอย่างด้วยรอยยิ้มกว้างสดใส ส่วนหมิ่งจิ้นเหอก็พยักหน้าตอบกลับไป
เจียวอิงรู้สึกว่าตนกำลังจะกลายเป็นบ้า นางพ่นลมหายใจแรง ใบหน้าหน้าถมึงทึงขึ้นมา นางไม่อยากช่วยหมิ่งจิ้นเหออีกแล้ว! จะเป็นจะตายอะไรก็เรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับนาง!
แต่แล้วในช่วงเวลาที่ขาดสติอยู่นั้น เจียวอิงเผลอโยนคบไฟในมือทิ้งและตั้งท่าจะหมุนตัวเดินออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่เรือลำหนึ่งซึ่งประดับประดากระดาษอวยพรวันเกิดแล่นผ่านพ้นใต้สะพานออกมา
“ไฟไหม้!!!!”