EP.04 ตรวนล้อมรัก
‘เราแน่ใจว่ามากกว่าสองครั้ง’
‘เลิกพูดได้แล้ว เรื่องนั้นไว้คิดกันอีกที เรื่องที่ยังมาไม่ถึง ฉันไม่อยากคิดให้วุ่นวาย เปลืองพื้นที่สมอง’
แม้จะกลัวกับสิ่งที่ชลธีถาม แต่ความหวั่นไหวจนกลัวใจตัวเองก็ทำให้หล่อนพยายามพูดบ่ายเบี่ยง ไม่ใช่แค่ร่างกายหรอกที่ต้องเผชิญกับความผิดปกติ แต่ในใจส่วนลึกก็เริ่มไม่เข้าท่า เพราะมันพานนึกอยู่ตลอดว่าชลธีทำอะไรหล่อนไว้บ้าง หล่อนถึงได้ร้าวระบมไปทั้งร่างแบบนี้ โดยเฉพาะที่ตรงนั้นมันแสบซี้ดจนถึงขณะนี้
‘ถ้าตังค์ท้อง เราจะรับผิดชอบตังค์กับลูกทันที’
‘ฉันบอกให้แกเลิกพูด เตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ พรุ่งนี้ฉันมีงานแต่เช้า และแกมั่นใจได้ว่าฉันจะไม่ท้องเด็ดขาด ออกไปนี่แวะตลาดด้วย ฉันจะซื้อยาคุม’
แม้หล่อนจะไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อน แต่ผู้หญิงวัยใกล้เลข 3 อย่างหล่อนก็ไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าถ้าพลาดไปแล้วต้องป้องกันอย่างไร และสถานการณ์นี้ ‘ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน’ จำเป็นที่สุด เพราะจะช่วยหยุดทุกปัญหาที่จะตามมาในอนาคต
จากนั้นเมื่อถึงตลาดในตัวเมือง ชลธีก็ไปหาซื้อสิ่งที่หล่อนต้องการ ไม่มีอะไรต้องฉุกคิด เมื่อเม็ดยาเล็กๆ นั้น ถูกส่งเข้าปากพร้อมน้ำอึกหนึ่ง แค่นั้นทุกอย่างก็จบ หล่อนจะลืมว่าเคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้นในชีวิต ถ้าไม่เพราะคำพูดทิ้งท้ายก่อนที่ชลธีจะส่งหล่อนลงหน้าบ้าน
“จำไว้นะตังค์ เรายืนยันว่าเราต้องการรับผิดชอบตังค์ แม้ตอนนี้ตังค์จะไม่ต้องการก็ตาม แต่ถ้าวันใดที่ตังค์ต้องการเรา เราจะมาในทันที”
ร่วมเดือนแล้วตั้งแต่วันที่กลับมาจากเพชรบูรณ์ นับตังค์ก็ไม่เคยกลับไปที่บ้านแม่อีกเลย เพราะหล่อนไม่อยากเจอชลธี จึงได้แต่บ่ายเบี่ยงแม่ว่างานยุ่งมากจนปลีกตัวกลับไปบ้านไม่ได้ ทั้งที่ปกติแล้วหล่อนจะอยู่คอนโดฯ แค่วันจันทร์-พฤหัส และศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ หล่อนจะกลับบ้านไปอยู่กับแม่
เพราะพ่อเสียไปตั้งแต่หล่อนยังเด็ก หล่อนกับแม่จึงเหมือนมีกันแค่สองคน ญาติพี่น้องคนอื่นๆ ก็อยู่ต่างจังหวัด แม่เองก็คุ้นเคยกับบ้านที่กรุงเทพฯ มากกว่าที่จะไปเริ่มต้นใหม่ แม้จะอยู่รายล้อมด้วยญาติพี่น้องก็ตาม ซึ่งหล่อนรู้ดีว่าแม่ไม่อยากจากไปไหน เพราะบ้านหลังนี้เป็นเรือนหอของพ่อกับแม่
นั่นทำให้เมื่อเรียนจบและได้งานทำ หล่อนจึงเลือกเป็นฟรีแลนซ์เพื่อจัดสรรวันทำงานได้ด้วยตัวเอง เพราะตั้งใจว่าจะต้องแบ่งเวลาให้แม่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ น้อยนักที่หล่อนจะมีธุระหรือไปต่างจังหวัดจนไม่สามารถกลับบ้านได้ แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้นมา หล่อนกลับ ‘ใจไม่กล้าพอ’
ยังจำได้ดีว่าวันนั้นหลังจากที่ชลธีพูดจบ หล่อนเดินลงจากรถของเขาโดยไม่คิดจะหันกลับไปมองอีก รู้ว่าเขามีความปรารถนาดี แต่หล่อนไม่พร้อมจะมองใบหน้าหล่อๆ นั้น เพราะมันพานจะทำให้หล่อนหวั่นไหวน่ะสิ
‘เมื่อวานอาจจะใช่ แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว’
เสียงทุ้มๆ ที่เอ่ยประโยคนี้ก็ยังคงก้องในความทรงจำ ย้ำเตือนว่าสถานะระหว่างกันและกันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว และหล่อนก็ไม่อาจนับว่าชลธีเป็น ‘เพื่อน’ ได้อย่างสนิทใจอีก แม้ปากจะพูดไปว่าเรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมก็ตามที
เพราะร่องรอยที่เกิดขึ้น อาการเจ็บ แสบ ช้ำ และบางสิ่งที่เหมือนจะยังค้างคาอยู่ ทั้งๆ ที่ไม่ได้สอดใส่
ความเปลี่ยนแปลงในร่างกายทุกอย่าง บ่งบอกว่าไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นการไม่พบเจอหน้ากันคงจะดีที่สุด
แต่ไม่ว่าหล่อนจะพยายามไม่เจอหน้าชลธีแค่ไหน ก็เหมือนว่าหล่อนจะเห็นชลธีอยู่ไปทุกที่ เหมือนว่าใจหล่อนจะพะวงถึงแต่เขา คิดถึงแต่ใบหน้าหล่อจัดกับรอยยิ้มขี้เล่นแต่ดูใจดี และเขาที่ยอมเป็นลูกไล่หล่อนอยู่ร่ำไป และที่แทรกมาในความคิดก็เป็นเรือนร่างเปล่าเปลือยของเขา ที่หล่อนสลัดไล่ออกจากความทรงจำไม่ได้เลย
ร่างกายแข็งแกร่งที่ดูแข็งแรงไปทุกสัดส่วน กล้ามเนื้อเน้นๆ ลอนหน้าท้องเป็นลูก และ... สิ่งที่ติดตาที่สุด
นับตังค์กัดปากกำมือกับพวงมาลัยรถแน่น ขณะรอประตูรั้วอัตโนมัติเคลื่อนเปิด
“ขอให้อย่าเจอเลย” พึมพำกับตัวเองเพราะวันนี้หล่อนไม่มีอะไรจะเลี่ยงแม่ได้อีก และก็สงสารแม่ที่ไม่ได้เจอหน้าหล่อนเลย ทั้งๆ ที่ก็มีกันอยู่แค่สองคนเท่านั้น
และเมื่อตัดสินใจกลับบ้าน หล่อนก็ควรพาตัวเองเข้าสู่โหมดปกติสุขสักที เพราะจะว่าไปเกือบเดือนที่ผ่านมา หล่อนก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมในทุกๆ วัน ชลธีเองก็เช่นกัน เขาก็เหมือนเดิมคือไม่ได้มาวอแวอะไรกับหล่อน ไม่ได้โทร. หา ไม่ได้ติดต่อทุกช่องทาง นั่นเพราะหากเป็นสถานการณ์ปกติ หล่อนกับเขาก็จะเจอหน้ากันเกือบทุกสุดสัปดาห์ที่นี่...
แต่วันนี้ ถ้าเผื่อเจอกันหล่อนเองก็ยังไม่รู้ว่าควรทำหน้าทำตัวเช่นไร ควรทักทายกันแบบไหน ควรคุยกันหรือเปล่า หรือแค่มองหน้าเขา หล่อนจะกล้าพอไหม ซึ่งหล่อนก็ให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้เลย
แต่อาจมีคำตอบหนึ่งที่ใกล้เคียงสุดก็คือ หล่อนกลัวความหวั่นไหวที่ไม่ควรเกิด... จะเกิดขึ้นมา
บอกตัวเองว่าหล่อนไม่ใช่ผู้หญิงที่กินอุดมคติ ‘เสียตัวให้ใครแล้วต้องเป็นทาสรักไปจนตาย’
ไม่มีทางที่หล่อนจะเสียความโสดเพียงเพราะเมา และหล่อนก็ไม่อยาก ‘กินเพื่อน’ แม้จะกินไปแล้วแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็ตาม เพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกช่วงเวลานั้นมันเป็นยังไง จะฟินเวอร์เหมือนในละครจริงไหม หรือนั่นเป็นแค่คำโกหกให้คนอยากแต่งงาน เพราะจุดซ่อนเร้นในวันนั้นย้ำเตือนว่าเขาทำหล่อนเจ็บ ‘มากที่สุด’ หลายวันเลยกว่าจะหายแสบหายเจ็บ