‘สาเหตุที่ห่างเหินเย็นชามิใคร่เข้าหาเช่นกาลก่อนเพราะนางเปลี่ยนไปหรือเขามีใครอื่นในใจตั้งแต่แรก’
หญิงสาวยิ้มเย็น เป็นเช่นนี้ย่อมดีไม่น้อย...
ไป๋เว่ยซิน
หลายวันแล้วที่เฉินเจียหมิงหายหน้าหายตาไป ไม่มาหาไป๋เว่ยซินเหมือนเฉกเดิม
แน่นอนว่าความห่างเหินเช่นนี้ ไป๋เว่ยซินคนปัจจุบันไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอันใดทั้งสิ้น หากเป็นคนเก่าคงรีบทำขนมแล้วถือตะกร้าใบใหญ่ออกจากจวนไป๋ด้วยตัวเอง เพื่อไปหาเขาถึงจวนเฉินตั้งแต่เช้าในวันแรกที่คู่หมั้นหายหน้า
ครั้งก่อนที่ทำตัวหยาบคายและโวยวายเปิดโปงคู่หมั้น ล้วนจบลงที่นางถูกบิดามารดารุมต่อว่าต่อขานรุนแรงจนหูชาแค่นั้น หาได้พูดถึงเรื่องถอนหมั้นไม่
กระนั้นการถูกต่อว่ามากมายหากเป็นคุณหนูบ้านอื่นคงเก็บตัวในเรือนของตนเพื่อสำนึกผิด หรือร้องไห้ฟูมฟายอดข้าวอดน้ำแทบตายทั้งเป็น แต่นางไม่ใช่
ไป๋เว่ยซินยังคงขบคิดหาวิธีถอนหมั้นต่อไป
นอกหน้าต่าง น้ำค้างพร่างพราวกระทบยอดหญ้า แสงแดดเริ่มฝ่าไอหมอกทอประกายลงมาอย่างอ่อนโยน
อากาศปลายยามเหม่า[1]ค่อนข้างดีทีเดียว
หลังจากรับมื้ออาหารเช้าเสร็จ ไป๋เว่ยซินจึงตัดสินใจออกจากเรือนไปเดินเที่ยว เผื่อสมองปลอดโปร่งโล่งกว่าเดิม
นางไม่พาสาวใช้ไปด้วยเพราะอีกฝ่ายหัวโบราณมาก มักคอยบอกว่าทำอย่างนั้นไม่ดี ทำอย่างนี้ไม่ได้
ยามนี้สมควรไปหาคุณชายเฉิน ไปปรับความเข้าใจ อย่าได้ระหองระแหงนานเกินไป
และอีกหลายประโยคที่สาวใช้คนนั้นคอยพร่ำบอก
ไป๋เว่ยซินรู้ว่าอีกฝ่ายหวังดี แต่นางไม่ต้องการ
หญิงสาวรู้ว่าเมืองแห่งนี้ค่อนข้างสุขสงบปลอดภัย แม้อยู่ห่างจากเมืองหลวงออกมาไกล ทว่าเพราะอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จ้าว อยู่ภายใต้การปกป้องชายแดนของชินอ๋อง ทุกเมืองในแคว้นจึงร่มเย็นเป็นสุขยิ่งนัก
การเดินเที่ยวคนเดียวจึงมิใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับนาง
ในตลาดคึกคัก สองข้างทางมีพ่อค้าแม่ค้ามากมาย พวกเขาตั้งร้านขายของนานาชนิดละลานตา
ม้วนผ้าถูกวางแผงริมทาง ลวดลายงดงามยิ่งนัก แน่นอนว่าเป็นราคาที่คนส่วนใหญ่จับต้องได้ เพราะหากเป็นร้านแพรพรรณใหญ่โต ราคาย่อมสูง มีเพียงคุณหนูลูกขุนนางที่เดินเข้าเดินออก แต่ลูกสาวชาวบ้านไม่อาจเข้าหาได้
ยังมีเพิงบะหมี่ เพิงน้ำชา ร้านขายเนื้อแดดเดียว ร้านอื่นๆ ซึ่งมีโต๊ะให้นั่งสองสามโต๊ะ ผู้คนหมุนเวียนนั่งกิน จ่ายเงินแล้วก็ลุกออกไป ผิดกับร้านใหญ่เลื่องชื่อที่ราคาแพงซึ่งบางทีต้องจองล่วงหน้าถึงจะได้เข้าไปนั่งกิน
ไป๋เว่ยซินให้รู้สึกตื่นเต้นและสงสัยใคร่รู้ในยุคสมัยนี้ซึ่งในความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงนี้ยังมีความคล้ายคลึงอย่างไม่น่าเชื่อทางด้านแนวคิดบางชนิดจากยุคสมัยที่จากมา
หญิงสาวจึงเดินเล่นชมสินค้ารายทางอย่างอารมณ์ดี ศึกษาวิถีชีวิตผู้คนมาเรื่อยๆ
ทว่าสายตาพลันสะดุดเข้ากับชายหญิงคู่หนึ่ง
พวกเขาเดินเคียงคู่ยกยิ้มหยอกเอิน ท่าทางสนิทสนมเหมือนญาติพี่น้องหรือมิตรสหายทั่วไป ทว่าท่ามกลางผู้คนที่เดินขวักไขว่ในตลาดจนทำให้พวกเขาต้องเดินเบียดไหล่ บางครั้งมือใหญ่ยังต้องคอยยกขึ้นโอบหลวมๆ เพื่อปกป้องคนตัวเล็กให้เดินโดยสะดวก
การโอบแม้เพียงบางเบามีการเว้นระยะพอดิบพอดี หากมองผิวเผินย่อมเป็นแค่ความหวังดีจากพี่ชายสู่น้องสาว เพียงแต่ถ้าหากฝ่ายชายจะแค่กางแขนออกกว้างเพื่อกันผู้อื่นให้เดินห่างไม่เบียดฝ่ายหญิงเท่านั้นย่อมแนบเนียนแล้ว
ทว่าเฉินเจียหมิงกลับเอื้อมแขนขวาโอบญาติสาว ฝ่ามือใหญ่แตะเบาๆ ที่เอวบางข้างขวา เรียวนิ้วยาวของเขาแนบไปกับสะโพกด้านหน้า ปลายนิ้วยื่นยาวนั้นไล้ผะแผ่วอยู่บริเวณท้องน้อย
ต้องสนิทสนมขนาดไหนถึงพลั้งเผลอในท่วงท่านี้ได้
หลัวลี่ลี่ก้มหน้าเอียงอายมิได้สนใจสินค้าที่ทำท่าจะซื้อแม้แต่น้อย
เฉินเจียหมิงก้มหน้ามองนางยิ้มๆ ใบหน้าหล่อเหลามีประกายอบอุ่นอ่อนโยน ไหนเลยจะมีความเกรี้ยวกราดเหมือนชายคนนั้นที่มาต่อว่าคู่หมั้นของตัวเองถึงจวนไป๋
ช่างเป็นภาพชวนประทับใจที่เกินคำว่าญาติผู้พี่ผู้น้องในสายตาของไป๋เว่ยซินเหลือเกิน
หญิงสาวย่อมไม่คิดหลบหลีกเหมือนที่ร่างเดิมเคยทำ นางตัดสินใจเดินเข้าไปทักทายเสียงใส ไร้อาการขุ่นเคืองหรือเศร้าหมองตรอมใจ
“พี่เจียหมิงกับน้องลี่มาเดินเที่ยวด้วยกันหรือ? ท่าทางมีความสุขเชียว”
เสียงของนางทำเอาชายหญิงสะดุ้งชะงักงัน
เฉินเจียหมิงรีบปล่อยมือที่โอบไหล่หลัวลี่ลี่ พลางปรับสีหน้าโดยพลัน เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท “เว่ยซิน เจ้าหายป่วยแล้วหรือ? ข้าจะไปเยี่ยมเจ้าที่จวนพอดี กำลังเดินซื้อของฝาก”
ไป๋เว่ยซินเอียงหน้าถามยิ้มๆ “ข้าป่วยเมื่อใดหรือ? ไม่นะ ไม่เคยป่วย เพียงแค่นั่งๆ นอนๆ นับวันรออย่างตื่นเต้นว่าเมื่อใดจะได้ถอนหมั้นกับท่านต่างหาก”
ชายหนุ่มได้ฟังพลันสะอึก ใบหน้าเริ่มตึงเครียด
“เจ้า...” เขาเดินเข้าใกล้คู่หมั้นกระซิบเสียงดุดัน “เพราะเจ้าเปลี่ยนไปปะไร ข้าถึงไม่ไปหา ไม่อยากเข้าใกล้”
เมื่อเทียบกับสตรีอีกคนแล้ว นับวันนางยิ่งน่าเบื่อ
แววตาเฉินเจียหมิงฉายชัดทุกความเบื่อหน่ายเอือมระอา ไป๋เว่ยซินสบสายตากลับอย่างไม่สะทกสะท้าน รอยยิ้มยิ่งกดลึกตรงมุมปาก สุ้มเสียงเรียบเย็น
“สาเหตุที่ห่างเหินเย็นชามิใคร่เข้าหาเช่นกาลก่อนเพราะข้าเปลี่ยนไปหรือท่านมีใครอื่นในใจตั้งแต่แรกกันแน่”
ชายหนุ่มชะงัก
ไป๋เว่ยซินไม่คิดคุยกับเฉินเจียหมิง นางหันมาสนใจหลัวลี่ลี่ที่ยามนี้ทำตัวบอบบางน้ำตาเอ่อคลอเต็มดวงตา ท่าทางน่าสงสารจับใจ
[1]ยาม เหม่า เท่ากับเวลา 05.00 น. จนถึง 06.59 น.