แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ภายในรถของท่านรองฯ ภูวไนย ลูกสาวคนเล็กได้แต่นั่งหน้าเศร้า น้ำตาซึมแล้วมองออกไปนอกรถ ก่อนจะหลับตาไม่อยากมองหน้าใคร แค่เรื่องที่เกิดขึ้นก็ช็อกจะแย่อยู่แล้ว นี่ทุกคนทำราวกับให้เธอแบกโลกทั้งโลกเอาไว้แทนอีกคนที่หนีไป มันใช่เรื่องอย่างนั้นหรือ เธอต้องทำอย่างนั้นหรือ การไปพบนายสิงหราชเธอคิดว่าจะเป็นการไปช่วยกันแก้ปัญหา แต่ที่ไหนได้ ไม่ใช่เลย
“จ้า คุยกับแม่สักคำสิลูก” จรัสดาวเอ่ยขึ้นเสียงหม่นพลางกุมมือลูกสาวเอาไว้อย่างอ่อนโยนและรู้สึกผิด
“ถ้าจะคุย จ้าจะไม่คุยเรื่องแต่งงาน” น้ำเสียงเจิดจ้าเบาและสั่นเครือ
“เฮ้อ! แค่คืนเดียวน่ะลูก คืนเดียว ให้ทุกคนได้เห็นภาพที่ดี”
“แม้เบื้องหลังจะฟอนเฟะน่ะเหรอคะ จ้าเป็นใคร เคยสำคัญขนาดไหนเหรอคะ ก็เปล่า ที่ผ่านมาเป็นเงาของเจิด แทบจะไม่ออกไปให้ใครเห็นเพื่อจะได้ไม่จำผิดคน ตอนจีบเขาก็จีบเจิดไม่ใช่จ้า ก็เอาเจิดสิคะกลับมารับผิดชอบ ทำไมต้องให้จ้าไปเป็นหนังหน้าไฟ ใช่ความผิดจ้าเหรอคะ ก็เปล่าแต่เขากำลังพาลเกลียดจ้าด้วย”
“ถ้าตามตัวพี่เราได้ พ่อก็จะลากคอให้มาแต่งให้จบๆ ไม่ได้อยากให้หนูต้องมารับผิดชอบอะไรแบบนี้”
“งั้นก็ล้มเลิกให้มันรู้แล้วรู้รอด เจิดจะได้รู้ว่าเป็นเพราะตัวเอง อย่าให้จ้าต้องมาแบกปัญหาที่ไม่ได้ก่อเลยค่ะ”
“ถ้าลูกไม่คิดถึงตัวเอง ไม่คิดถึงเจิด ก็คิดถึงหน้าพ่อแม่ได้ไหม” บิดาเค้นเสียงถาม
“แล้วพ่อแม่คิดถึงจ้าบ้างไหม สนใจแต่ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลกันทั้งสองฝ่าย แล้วจ้าต้องแต่งงานกับคนที่จ้าไม่ได้... เขาไม่ได้ชอบจ้า แล้วจ้าก็ไม่ใช่ตัวแทนของใคร ไม่สวมรอยให้ใครเป็นอันขาด” คำตอบของเธอยังหนักแน่นเช่นเดิม
“ก็เพราะว่าชื่อเสียงมันไม่ได้สร้างกันง่ายๆ กว่าจะมีวันนี้ จะให้พังเพราะความเหลวแหลกของพี่เราคนเดียวไม่ได้ แค่ปั้นหน้ายิ้มใส่ชุดแต่งงาน วันเดียวนะลูก วันเดียว แม่ขอร้อง”
“แล้วหลังจากวันนั้นล่ะคะ เขาไม่ได้ยอมเข้าพิธีฟรีๆ หรอก”
“ก็ใช่ มันก็มีข้อแม้เพื่อความเหมาะสม ตามระยะเวลา พ่อกับแม่ขอร้องได้ไหม นี่จะเป็นครั้งแรกครั้งเดียวที่จะขอร้องให้ลูกทำอะไรที่ยิ่งใหญ่เกินตัว อย่าหักหน้าพ่อแม่ด้วยการให้งานล่มเลย” บิดาแทรกขึ้น
“ชีวิตจ้าจะเป็นยังไงคะ บอกที”
“หนูยังไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอลูก” มารดาถาม ทำให้เจิดจ้าปรายตามองมารดาเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าลง
“ก็ไม่ได้หมายความว่าหนูจะแต่งงานกับใครก็ได้ โดยเฉพาะคนนั้นเป็นแฟนพี่สาวตัวเอง”
“ในเมื่อยัยเจิดมันไม่รักดี ก็ปล่อยมันไป มันไม่ได้เลือกคุณสิง”
“หนูก็ไม่ได้เลือกค่ะแม่ ทำไมต้องบังคับคะ”
“ไม่เรียกว่าบังคับได้ไหมลูก ช่วยพ่อกับแม่สักครั้ง แล้วพ่อกับแม่จะไม่ขอร้องอะไรอีกแล้ว ต่อไปนี้จะปล่อยให้ชีวิตลูกมีอิสระ”
“แม่ นี่เรียกว่าการตอบแทนบุญคุณเหรอคะ ถ้าหนูไม่ทำเรียกว่าอกตัญญูหรือเปล่าคะ”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิลูก อย่าพูดให้พ่อกับแม่มีความผิดไปมากกว่านี้อีกเลย เท่านี้ก็อับอายทางพ่อเลี้ยงจะแย่อยู่แล้ว”
“แล้วคิดว่าจ้าหน้าหนามากเลยใช่ไหมคะ ต้องปั้นหน้า ยิ้มแห้งสวมชุดแต่งงานของพี่สาว มองหน้าผู้ชายที่ไม่ใช่เจ้าบ่าวของตัวเอง แล้วเขาล่ะคุณสิงน่ะ เขาจะมองจ้าว่าเป็นผู้หญิงแบบไหน ถึงยอมแต่งแบบสวมรอยง่ายๆ ได้น่ะ”
“พ่อกับแม่คุยกับทางคุณสิงแล้ว เขาจะไม่ยุ่งกับลูก แต่ต้องแต่งเข้าบ้านเขา”
“แต่งเข้าบ้าน แปลว่าจ้าต้องไปอยู่บ้านเขาสักระยะเหรอคะพ่อ”
“ใช่ เพื่อความเหมาะสม เพราะทุกอย่างมันถูกต้องตามประเพณีและกฎหมาย”
“หนูจะไม่ยุ่งกับเขาเป็นอันขาด จะไม่นอนห้องเดียวกับเขา เราจะอยู่ในฐานะสามีภรรยาแค่ในนาม”
“เขายินดีให้เป็นอย่างนั้น จะให้เงินเดือนลูกเหมือนที่ลูกจ้างจะได้”
“นานแค่ไหนคะ จ้าต้องอยู่แบบนั้นนานแค่ไหน”
“แค่ระยะเวลาสั้นๆ น่ะ แต่ก็เพื่อไม่ให้คนสงสัย นะลูก ครั้งนี้ครั้งเดียวจะไม่ขออะไรอีกแล้ว พ่อขอเถอะ”
“จ้าคงเกิดมารับกรรมแทนเจิด อยู่ใต้เงาเจิดมาตลอด อะไรก็เจิด ออกงานก็เจิด อะไรที่สวยงามเป็นหน้าเป็นตาก็เจิด จ้าเป็นแค่ตัวประกอบในครอบครัว แต่เมื่อถึงคราวที่ครอบครัวแย่ จ้ากลับต้องมารับกรรมที่ไม่ได้ก่อ ไม่รู้ว่านับจากนี้คุณสิงจะระบายความเกลียดชังใส่จ้ายังไง เขาเป็นนักเลงคนหนึ่ง และไม่ใช่คนที่ใครจะไปเหยียบย่ำศักดิ์ศรีได้ พ่อแม่ก็รู้ ถ้านี่ถือว่าเป็นการตอบแทนครอบครัว จ้าจะทำก็ได้ ครั้งนี้ครั้งเดียว และจากนี้ไปขอชีวิตเป็นของจ้า อย่าให้จ้าต้องทำอะไรเพื่อใครอีก จ้าจะขอทำเพื่อตัวเอง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม” สิ้นคำน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลอาบแก้ม ไม่ได้มีเสียงร้องไห้แต่อย่างใด
“แค่ลูกยอม เท่านี้พ่อกับแม่ก็หมดปัญหา หายห่วงแล้ว หลังจากนี้หนูจะจัดการชีวิตตัวเองอย่างไร ก็ตามใจ แต่ขอให้อยู่ในความดูแลของคุณสิงไปก่อน” บิดาบอกพลางกุมมือเธอเอาไว้
“ตอนนี้เขาคงเกลียดจ้า พอๆ กับเกลียดยัยเจิด”
“เขาอาจจะเกลียดเราทั้งครอบครัว ก็น่าอยู่หรอก เขาก็เป็นคนมีหน้ามีตาทางสังคม มีชื่อเสียง มีอิทธิพล ร่ำรวยกว่าเราหลายสิบเท่า ข้าราชการอย่างพ่อก็แค่กินเงินภาษีประชาชนเป็นเดือนๆ ไป มีแค่หัวโขนเท่านั้นแหละที่อยากรักษาไว้ แต่เขาต้องรักษาทุกสิ่งที่สะสมมาหลายสิบปี เขาก็คงจะไม่ปล่อยให้มันพังทลายลงไปในพริบตา เพียงเพราะน้ำมือพี่สาวเราหรอก” บิดากล่าวเสียงหม่นลง
“แม่ขอโทษหากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทำให้จ้ารู้สึกแบบนั้น แต่อย่าเสียใจไปเลยนะลูก แม้ลูกจะมองตัวเองว่าเป็นเงา เป็นตัวแทน แต่เวลานี้มีลูกคนเดียวที่จะรักษาทุกอย่างเอาไว้เพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีของทั้งสองฝ่าย และทำให้มันดีกว่าคนที่ทิ้งทุกอย่างไปเพื่อผู้ชายอื่นสิ” มารดาเสริมขึ้น
“ทางนั้นก็เอ็นดูหนูไม่แพ้เจิดหรอกลูก” บิดาว่า
“แต่คุณสิงไม่ได้เอ็นดูหนู ไม่มีใครในสายตาเขานอกจากเจิด เขาโกรธมากกว่าที่เราทำแบบนี้” เจิดจ้ายังย้ำความรู้สึกที่ว่าสิงหราชต้องโกรธ ซึ่งแน่นอนล่ะ
“ยิ่งกว่าโกรธซะอีก ต้องได้เห็นหน้าเขาตอนพูดกับแม่และพ่อ” มารดากล่าว แต่ไม่อยากจะคิดถึงหน้าเขาหรอก เป็นคนไม่ยิ้มแย้ม ทำหน้าขึงขัง เข้มอยู่ตลอดเวลา อยากรู้นักว่าเวลาอยู่กับพี่สาวตามลำพังเขาทำหน้าอย่างไร เคยอ่อนโยนกับใครบ้างไหม แต่ก็คงจะมีมุมแบบนั้นอยู่หรอก ไม่งั้นคงไม่ถูกชะตากับแฝดพี่จนถึงขั้นแต่งงาน
“เฮ้อ จ้าจะยอมเพื่อพ่อกับแม่ เพื่อผู้ใหญ่ทางนั้น แต่ไม่ใช่เพื่อเจิด” พูดไปน้ำตาก็คลอไป พยายามเหลือเกินที่จะไม่ให้มันไหลออกมาอีกครั้ง มารดาจึงได้แต่รั้งเข้ามากอดปลอบ
“ขอบใจนะลูก ขอบใจที่แก้ไขปัญหานี้แทนพ่อกับแม่” ถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่เห็นแก่ตัวไม่ใช่น้อย แต่ก็อย่างว่าครอบครัวทั้งสองฝ่ายคงยอมไม่ได้ที่จะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่สั่งสมมา พังทลายลงภายในวันเดียวจนกลายเป็นเรื่องน่าอับอาย ส่วนคนที่ทำโดยทิ้งปัญหาเอาไว้ ไม่อยากจะขอให้ได้รับผลกรรมหรอก เพราะการจากไปเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะมีความสุข ห่วงก็แต่ลูกสาวคนเล็ก หลังแต่งงานนับจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร สิงราชจะเอ็นดูไหมหรือรังเกียจเดียดฉันท์ เพียงเพราะเป็นน้องสาวของเจิดจรัส การได้เป็นตัวแทนสวมรอยกัน ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่มันกำลังเลวร้ายลง และอย่างที่เจิดจ้าบอก เธอกำลังรับกรรม