ดอกไม้หรือยาพิษ

1903 คำ
เสียงทุ้มที่เปล่งดังของอีกคน เรียกสติสัมปชัญญะ ทุกส่วนของร่างกายรติกาลกลับมาปรกติเหมือนเดิม “ อะ อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ” จากที่มองหน้าอีกคน รติกาลก็หันมายังอีกต้นเสียงหนึ่งและตอบคำถาม ท่าทางเงอะงะของหญิงสาวผู้นั้นทำให้ นัยน์ตาสีฟ้าต้องหรี่มองอย่างพินิจใหม่อีกครั้ง แต่ภายในใจรู้สึกหงุดหงิดที่เขาถามไปหลายครั้งแต่ไม่คิดตอบ แต่เมื่อเมลสันถามไปแค่ครั้งเดียว หล่อนก็ตอบทันที “มาวิ่งตัดหน้ารถ หรือคิดจะหาเงินโดยวิธีการนี้หรือ?”  อารมณ์ที่มาแบบไม่รู้ตัวโพลงออกมา  “คุณว่าไงนะ?” ทั้งที่หูไม่ฝาด  แต่เธออดถามซ้ำไม่ได้  นี่หรือคำพูดของคนก่อนหน้านั้นที่เธอหลงซาบซึ้ง ไหล่หนายกขึ้นอย่างไม่แคร์ อีกทั้งไม่คิดพูดซ้ำ เมลสันหน้าเจื่อนลง ไม่คิดว่าคำพูดนั้นจะเป็นของเฮริค  “ ดิฉันไม่ได้คิด”  รติกาลตัดสินใจตอบกลับ และเขาก็สวนกลับมาทันที             “จะให้ผมเชื่อได้ไงว่าคุณไม่ได้คิดแบบนั้น” สายตายังไม่ละจากร่างอรชรบอบบางในเสื้อผ้ารัดกุม ริมฝีปากบางกัดเม้มจนสนิทแน่น ...คำพูดอาจจะไม่เชื่อกันได้ เธอเข้าใจ เพราะคนสมัยนี้อยู่บนความหวาดระแวงไม่ว่าเวลาใด ไม่เลือกเพศเลือกเวลา พวกมิจฉาชีพอยู่ได้ทั่วทุกพื้นที่ หากแต่สำหรับเธอมันไม่ใช่! ยิ่งสายตาที่มองอย่างดูถูก ทำให้เธอรู้สึกกลายเป็นคนชั้นต่ำในสายตาเขา ส่งผลให้คนที่มีศักดิ์ศรีอย่างเธอ กล้าพอโต้กลับไป เมื่อสิ่งที่เขากล่าวหามา ไม่จริง “หึ หากคุณเอาความคิดคุณมาเป็นบรรทัดฐานในการถามดิฉัน ขอให้คุณกลับไปคิดใหม่นะคะ เพราะดิฉันยังมีงานต้องทำและมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอีกเยอะ ไม่ยอมเอาตัวเองมาเสี่ยงกะแค่ผลที่จะตามมาแบบไม่รู้ว่าจะคุ้มหรือไม่คุ้ม” มาเฟียหนุ่มรูปงาม ออกอาการเหวอ ก่อนจะแปลเปลี่ยน โกรธเคือง “นิเธอ!” นิ้วชี้เรียวยาวชี้ไปยังคนปากกล้าตรงหน้า เมลสันที่ยืนอยู่ใกล้รู้สึกบรรยากาศไม่ค่อยดี เขารู้สึกฉงน ผิดคาด ทั้งที่จริงก่อนหน้า เฮริคดูจะสนใจผู้หญิงคนนี้ด้วยซ้ำ... จะห้ามรึ? เมลสันก็ไม่กล้าเสี่ยง “เอ่อ... นาย ” แม้จะมีเสี่ยงกลับลูกหลงอยู่บ้าง แต่เมลสันไม่อาจปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น อีกทั้งไม่ต้องการให้เพื่อนรัก ยืนทะเลาะกับผู้หญิงในที่สาธารณะโจ่งแจ้งแบบนี้ ไม่เหมาะ ที่ สำคัญเขาเห็นว่ากล่องสีแดงสดเปิดอ้า? “อย่ามาเรียกนะเมลสัน” คนถูกขัด ร้องห้ามเสียงขุ่น หากมีอะไรเข้ามาขวางตอนนี้ เขาอาจยั้งใจไม่อยู่กระชากสิ่งกวนใจมาลงทัณฑ์ให้หนำใจ แต่เมื่อคิด ว่าเมลสันคงหวังดีถึงได้เรียก จึงปรับอารมณ์และเอ่ยถาม “มีอะไร ว่ามา” “ผมขับรถไม่ดูทางเองครับ” และนั้น เฮริคได้แต่ขบกรามแน่น เพราะนั่น เท่ากับว่า เขาเป็นคนไม่มีเหตุผลและหาเรื่องผู้หญิง! เมลสันหลุบตาต่ำ ลุแก่โทษ ก่อนจะหันไปกล่าวกับสาวสวย “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ผมละกลัวคุณจะเจ็บ ขอโทษนะครับ” เมลสันเอ่ยอย่างสุภาพ เป็นการตัดจบ  และนั้นทำให้เฮริครู้สึกขัดนัยน์ตาเป็นอย่างมาจนต้องเบนสายตาไปทางอื่น             “ขอบคุณค่ะที่ถาม ดิฉันไม่ได้เป็นอะไร แต่ที่เป็นมากคือใจของคนบางคนมากกว่า หากไม่มีอะไรแล้วดิฉันต้องขอตัวก่อน” รติกาลอดเหล่ตา และอดทิ้งน้ำหนักเสียง ให้ไปกระแทกอีกคนที่กำลังมองฟ้ามองอากาศ อย่างกับไม่เคยเห็นบรรยากาศแถวนี้ไม่ได้ “เธอนี่มัน!” คนโดนกระแทกด้วยคำพูดและสายตา รู้ตัวดี ร่ำๆ จะบีบคองามระหงที่บังอาจทำให้เขาเสียเวลา เมลสันได้แต่กดยิ้ม พร้อมส่งสายตาห้ามเพื่อนชายไปในตัว  “คุณไม่เป็นอะไรจริงๆหรือครับ” เมลสันถามย้ำอีกครั้ง พร้อมใช้สายตาสำรวจไล่ไปตามร่างบางระหง ด้วยความเป็นห่วงจากใจ “อ้อ ค่ะ ไม่เจ็บ” เธอบอกตามความเป็นจริงพร้อมยิ้มบางๆให้ “หึ ให้ค่าทำขวัญไปหน่อยสิ เมลสัน” คนถูกเมินแทรกขึ้น อย่างหมั่นไส้ “หะ ครับ” สิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน ทำเอาเมลสันอึ้งไปแต่ก็รีบทำตามทันที             เมื่อเห็นอีกฝ่ายล้วงกระเป๋าหนังใบเล็กออกมา รติกาลจึงรีบร้องห้ามออกไปเช่นกัน “ไม่ต้อง บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรไง ขอโทษนะคะดิฉันขอตัว” เธอตัดปัญหาจึงรีบเบี่ยงตัวเพื่อเลี่ยงออกไป ที่สำคัญเธอไม่ต้องการเงิน แค่อีกฝ่ายน้ำใจไต่ถาม มันก็มากพอสำหรับเธอ “จะไปไหน? หยิ่งก็เป็น” ประโยคแรกเหมือนจะเป็นคำสั่งที่จะรั้งให้อีกฝ่ายอยู่ต่อ หากแต่กลับต่อประโยคหลังให้อีกฝ่ายเจ็บใจเล่น พร้อมแขนแกร่งยื่นกั้นห่างแค่เพียงนิดหน้าอกเต่งตึงคู่งามเกือบสัมผัสแขนนั้นอย่างไม่ตั้งใจ เท้าเรียวหยุดกึก “อะไรของคุณ?” เสียงแหลมร้องถาม พร้อมมือเรียวสะบัดแขนตรงหน้า ออกห่างจากหน้าอก ด้วยความตกใจ ตุ้บๆ ๆ!... เสียงสิ่งของกระเด็นกระดอน เรียกสายตาบุคคลทั้งสาม ให้ตะลึงค้าง และจับจ้องเจ้าสิ่งนั้น ที่กระเด็นกระดอนหลุนๆ ในสภาพฝาเปิดอ้า โดยเฮริคและเมลสันใจหายวาบ แต่เวลานั้น ไม่อาจทำให้ใคร ก้าวขาออกไปคว้าไว้ได้ จนกระทั้ง หล่นลงไปในคูระบายน้ำต่อหน้าต่อตา ก่อนจะหายลับไปจากสายตา และชั่วอึดใจหลังจากนั้น สติทุกคนกลับมา “นิเธอ ทำอะไรลงไป!?” เสียงแข็งกระด้างเอ่ยกร้าวพร้อมตาคมเข้มจิกมองจนน่ากลัว เมลสันที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็ตกใจไม่แพ้กัน เริ่มร้อนๆ หนาวๆ เตรียมรอเสือใหญ่อาละวาด “ฮะ?” ตากลมโตเกือบถลนมองเป็นเครื่องหมายคำถาม “คุณทำของผมตกลงท่อ” “มะ มันเกี่ยวอะไรกับดิฉันด้วยล่ะ” เธอตอบน้ำเสียงขลุกขลัก ไม่เข้าใจ พวกแต่งตัวดีขึ้นมาครามครัน “ก็เธอเป็นคนปัดของ ของฉันกระเด็นตกลงไป แล้วรู้ไหมว่าของของฉันราคาเท่าไหร่ เพชรที่ใช้กี่กะรัตเธอรู้เปล่า ห๊ะ?”   รติกาลได้แต่เบิกตากว้าง เธอไม่ได้ตกใจกับราคาเพชรกี่กะรัต แต่ตกใจที่อีกฝ่ายยัดเยียดข้อหาให้ ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของเธอ เขาเองต่างหากที่ไม่ระวังหรือเรียกว่าเซ่อซ่าเอาของมีค่ามาถือไว้จนเป็นเหตุ  “ฉันจะไปรู้ราคาของคุณเหรอ ฉันไม่เกี่ยว ฉันต้องไปแล้วล่ะ ฉันมีงานต้องทำ...” เมื่อคนตรงหน้ากลายเป็นคนไม่มีเหตุผล เธอก็เป็นได้เช่นกัน “หลีกค่ะ” เธอบอกอีกครั้ง รู้สึกอึดอัด เริ่มไม่สบอารมณ์คนตรงหน้าที่พยายามทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่นั้น             “เธอยังไปไหนไม่ได้!” เสียงนั้นคล้ายคำสั่งที่อีกฝ่ายต้องทำตาม และเขาไม่ได้พูดเพียงอย่างเดียว มือคว้าหมับบนข้อมือเรียว พร้อมบีบกระชับเหมือนเป็นการบีบบังคับให้อีกคนทำตามคำสั่งของเขา เมลสันได้แต่อ้าปากค้าง ไม่คิดว่านายของตนจะคิดว่าสาวสวยเป็นคนก่อเรื่อง หากแต่จะร้องห้ามกลัวเป็นการกระตุ้นให้ต่อมโทสะเจ้านายสูงขึ้น เพราะคิดว่าคนของตนเองกำลังปกป้องคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้านายของตัวเอง... “เจ็บนะ ปล่อย!” เธอบอก หากแต่สายตากวาดไปเห็นว่าพวกตนกำลังเป็นจุดสนใจของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา จึงเบาเสียงลง “แหวนฉัน... เธอต้องชดใช้ให้ฉัน ไม่เช่นนั้นเธอกลับไปหน้าไม่สวยแน่” เขาขู่กระซิบน้ำเสียงกดต่ำขยับบอกชิดริมหูขาวสะอาด กลิ่นหอมอ่อนๆ ตามไรผมที่สะบัดไหวตามสายลมพร้อมกลิ่นหอมจางๆปะทะจมูกโด่งเป็นสัน จนเจ้าของจมูกโด่งอดใจไม่ไหว เผลอสูดเข้าไปจนเต็มปอด เลือดลมในกายตีแผ่กระจายตอบสนองกลิ่นสาบสาวข้างกาย จนรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นผิดจังหวะ ยิ่งกว่าตอนเขาเพ่งมองริมฝีปากหล่อนเสียอีก  เฮริครีบผละห่าง เมื่อนึกได้ว่าตนเองเสียเวลามามากพอแล้ว ที่สำคัญเขามีนัดถึงสองแห่ง  “....” ตากลมโตตะลึงนิ่งไปเป็นครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเมื่อได้สติ “อย่าเอาความป่าเถื่อนของคุณมาใช้กับคนอย่างพวกเรา” น้ำเสียงหนักแน่นเอ่ยบอก ตอนนี้แค่หน้าตาหล่อเหลา ก็ไม่สามารถเรียกความรู้สึกปลาบปลื้มก่อนหน้ากลับมาได้ “เธอรู้หรือว่าฉันไม่ใช่คนไทย” “ไม่... หรือถึงเป็นก็แค่ลูกครึ่ง” “ลูกครึ่งแล้วทำไม มันไม่ดีตรงไหน?” “ก็แล้วมันดีหรือเปล่าล่ะ มายัดเยียดข้อหาแถมขู่กรรโชกทำร้ายร่างกาย มันน่าภูมิใจหรือไง หากคนไทยมีนิสัยแบบนี้” “จะปากดีมากไปแล้วนะ” กรามหนาบดเข้าหากันจนสันนูน แม้หน้าตาจะไม่ใช่ไทยแท้แต่เขาก็รักความเป็นไทยที่คนเป็นแม่สอนไว้เสมอ ‘เกิดเป็นคนไทยแม้จะครึ่งหนึ่งแต่ก็มีหัวใจดวงเดียวเหมือนกัน รักสามัคคีไม่เบียดเบียนคนที่อ่อนแอกว่าเป็นใช้ได้’คำสอนที่เขาจำขึ้นใจ แต่กับผู้หญิงคนนี้ ไม่รู้สินะ เขาจะเห็นเธออ่อนแอกว่าหรือไม่ ในเมื่อหล่อนเถียงคำไม่ตกฟาก และตอนนี้เขามีเกมเล่นใหม่อีกแล้ว... สายตาคมเชือดเฉือนต่างไม่ยอมกัน ก่อนจะหันไปสั่งอีกคนอย่างกลั้นอารมณ์ไว้ขีดสุด “เมลสัน จัดการโทร.ให้มิกซ์มารับ ฉันต้องทิ้งนายไว้ที่นี่ จัดการเช็คข้อมูลผู้หญิงคนนี้ไว้ให้ดี ไม่เช่นนั้นฉันจะถือว่านายไม่ทำตามคำสั่งฉัน” เมลสันที่โดนเปลี่ยนคำสั่ง หน้าเหวอพอๆ กับคนที่กำลังโดนข้อหาทั้งที่ไม่รู้ว่าเธอได้ทำอะไรลงไป “นายๆ/ ว้าย!” คนโดนรับงานใหม่ ร้องออกมาอย่างตกใจพร้อมกับเสียงหวานแหลม เมื่ออยู่ๆ รางของเธอ ก็ถูกเหวี่ยงไปอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของอีกคน โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ทันตั้งตัว “จัดการซะ แล้วฉันจะรอฟัง” เสียงเหี้ยมเอ่ยย้ำ พร้อมเดินอ้อมไปอีกฝั่งอย่างไม่ใส่ใจ อาการมึนงงมองท้ายรถเมอร์ซิเดสเบนซ์คันหรูเคลื่อนออกไปด้วยความเร็วเมื่อถนนโล่งเหมือนเป็นใจ เมลสันค่อยๆ ดันร่างบางสมส่วนที่ยังอยู่ในอาการตกใจค้าง ออกห่างจากอกของตนเองอย่างแผ่วเบา พร้อมเอ่ยขึ้นว่า  “เอ่อ... ผมขอโทษด้วยนะครับ” เพราะเขารู้ดีว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สาวสวยผู้นี้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก  “บ้าที่สุด!” เธอสะบัดเสียงใส่ โดยไม่ได้ตั้งใจต่อว่าชายหนุ่มร่างโต ที่ยื่นทำหน้าบุเลี่ยนอยู่ตรงนี้...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม