“ฟื้นสักทีนะ แม่หนูเพสามขวบของพี่” เสียงสวรรค์ที่ดูเหมือนจะแดกดัน แทรกเข้ามาทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูกของเธอเตลิดหายไป
“ครูอร”
“ยังรู้สึกไม่ดีอยู่มั้ย?” ผู้มาใหม่ถามก่อนจะแทรกตัวเองแทนที่ผู้เฝ้าอยู่เก่าก่อน มองดูใบหน้าของผู้ป่วย แม้จะยังซีดอยู่ แต่ก็ดีขึ้นมาก
“เวียนหัว หรือคลื่นไส้หรือเปล่า?”
“ไม่แล้วค่ะครู ขอบคุณนะคะ”
“ครูว่าเธอน่าจะพักอีกสักหน่อยจะดีกว่า แล้วค่อยกลับบ้าน ให้ผู้ปกครองพาไปตรวจร่างกายให้ละเอียดหน่อยก็ดีนะ” ครูอรแนะนำด้วยความเป็นห่วง
“ค่ะครู” เธอตอบรับอย่างว่าง่าย เพราะตอนนี้เธออยากจะนอนคิดอะไรสักหน่อย ไม่พร้อมประเชิญหน้ากับอะไรทั้งสิ้น ยิ่งเป็นเขา ที่เฝ้าเธอไม่ยอมห่างนั่นก็ด้วย ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ เพกาไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับเด็กชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกผูกพัน และคุ้นเคยอย่างประหลาด
เพกาค่อย ๆ กระถดตัวเพื่อจะนอนต่อ แต่ก็ถูกรั้งไว้ด้วยเสียงอันดุดัน “เดี๋ยวก่อน!!”
“คะ?”
“ช่วยบอกให้แฟนเธอกลับไปด้วย ฉันไล่ยังไงก็ไม่ยอมกลับไปเรียนต่อจนจะหมดคาบเช้าอยู่แล้ว” อิงอรกอดอกมองคู่หนุ่มสาวสลับกันด้วยสายตาอาฆาต! เพราะอิจฉามาก มากถึงมากที่สุด!
“มะ... ไม่ใช่แฟนค่ะครู” เพกาปฏิเสธทันที ก็แน่ล่ะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยจะมีแฟนกับเขาสักคน จู่ ๆ จะตื่นมาแล้วพบว่าตอนนี้ตัวเองไม่โสดแล้วก็ดูจะ... จะ... จะดีนะ?
“อะไรกัน สรุปยังไม่ได้คบกันจริง ๆ เหรอเนี่ย?” อิงอรหันไปถามคนซึ่งเฝ้าดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด แถมยังเป็นผู้ถูกกล่าวถึงอีกต่างหาก
“ตอนนี้ยังครับ” ซันยังตั้งมั่นคำตอบเดิม
เพกาที่ได้ยินคำตอบนั้นถึงกับอ้าปากค้างทำตัวไม่ถูก หากถามว่าไม่ชอบเหรอ ก็ขอตอบตรงนี้เลยว่าโคตรจะชอบ หล่อขนาดนี้มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธ แต่เธอดันอายุ 27 ปีแล้วนะ ใกล้เลขสามเต็มที จะมาพรากผู้เยาว์ในร่างผู้เยาว์แบบนี้มันผิดกฎหมายทางจิตใจนะคะสาว!!
หรือไม่ผิด... แต่มันก็ไม่ได้โว๊ย อย่างน้อยต้องรู้จักกันก่อนเซ่!!
“คะ... คือ”
หน้าที่เคยซีดตอนนี้ร้อนผ่าวแก้มแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ความวูบวาบบริเวณแก้มแบบนี้ มันห่างหายจากความรู้สึกของเพกาไปนานโข ดวงตาเบิกโตด้วยความประหม่าเลิ่กลั่กจนคนที่ได้เห็นอมยิ้มไปตาม ๆ กัน
“แล้วเธอจะเขินทำไมเนี่ย ถ้าไม่ได้คบกัน” อิงอรแอบแซวคนขี้อาย
“ถ้าจะพูดขนาดนี้ มันก็ต้องเขินมั้ยล่ะคะ” เพกาเลิกผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงเพื่อหนีเหตุการณ์ตรงหน้า “จะนอนแล้วค่ะ รบกวนออกไปกันให้หมดเลย”
คนโดนไล่หันหน้ามองกันเหมือนนัดไว้ “เขาว่างั้น เธอก็กลับไปเรียนต่อได้แล้ว”
“พี่ไปก่อนนะเพ”
เพกาโผล่แขนออกมานอกผ้าห่ม โบกมือไล่ให้เขาออกไป มันเป็นเรื่องปกติที่เขามักจะเห็นเพกาเขินแล้วเอาตัวหมุนผ้าห่มแบบนี้ แต่ก็ทำให้ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้หลายอย่าง ทั้งสีหน้า แววตา คำพูดที่ดูแปลกไป เพกายังเป็นเพกาคนเดิม แต่ความรู้สึกในช่างคุ้นเคยกว่าทุกที
โดยเฉพาะคำพูดนั้นของเธอ ‘ทำไม... ฉันถึงมาอยู่ที่นี่คะ?’ มันยิ่งทำให้เขาอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้จริง ๆ ว่าเธอนั้นก็กำลังประเชิญกับเรื่องแสนประหลาดนี้เหมือนกับเขา
‘มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน’
และไม่ใช่แค่ซัน แต่อิงอรก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เธอเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่เธอเข้าเรียน ถึงจะไม่ได้สนิทหรือพูดคุยกันสักเท่าไหร่ ด้วยอายุที่มากขึ้น ผ่านเด็กนักเรียนมาหลายรุ่นก็พอจะรู้ว่าใครนิสัยเป็นอย่างไร เพกาที่เธอเคยรู้จักไม่กล้าแม้จะสบตาใครเลยด้วยซ้ำ คำพูดแต่ละคำก็แสนเบา มีแต่ลมออกมาจนฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ตอนนี้กลายเป็นเด็กพูดจากฉะฉาน กล้าสบตา แถมยังกล้าไล่เธอออกมาเสียด้วยนี่สิ
‘แปลกแฮะ’
เพกาพยายามจัดการกับความคิดและสติของตัวเองให้มั่นคงที่สุด ทำความเข้าใจกับตัวเองว่าตอนนี้ เธออยู่ในวัย 17 ปี ในช่วงเวลานี้เธอได้พบกับคนแปลกหน้าที่มีนามว่า ‘ซัน’ เป็นรุ่นพี่ที่ดูเหมือนว่าเธอจะสนิทด้วย... ซะที่ไหนกัน เธอจำไม่ได้เลยสักนิดว่าเขาเป็นใคร จู่ ๆ ก็โผล่มา เพอย่างนั้น เพอย่างนี้ ทำเหมือนเขารู้จักเธอดีมาก ๆ
‘แล้วทำไมฉันถึงจำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลยล่ะ มันแปลกเกินไปแล้วนะ’
ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย ยิ่งสงสัยก็เพิ่มความอยากรู้เข้าไปอีก หรือว่าการที่เธอย้อนเวลามายังอดีตของตัวเองแบบนี้ จะเป็นแนวโรแมนติกประมาณว่า ย้อนเวลามาตามหารักแท้ แบบนี้เหรอ แล้วจะย้อนเวลามาทำเพื่อ!? หารักแท้ตอนอายุ 27 ก็ได้ จะเหาะเหินเดินข้ามเวลามาทำซากอะไรยะ!? (อันนี้โกรธอยู่ใช่ป่ะ?)
ร่างกายแสนจะอ่อนเพลีย ไม่รู้ว่าคิดไปเองมั้ย สติเพกาค่อย ๆ เลือนรางลงอย่างช้า ๆ จนเคลิ้มหลับไปในที่สุด โชคยังดีที่มีปริมเอากระเป๋านักเรียนมาให้ตอนพักเที่ยง แต่เพกาก็เลือกที่จะนอนต่อ ความรู้สึกที่เธอไปดื่มจนเมาหัวราน้ำ มันยังติดอยู่ในวิญญาณของเธอล่ะมั้ง เธอถึงได้มีแรงนอนถึงเย็นได้ขนาดนี้
พออายุขนาดนี้แล้ว ถ้าใจต้องการจะนอน 24 ชม. ก็สามารถนอนได้ไม่ติด หาว~
“นอนไปขนาดนั้นแล้วยังจะหาวได้อยู่นะ”
“นั่นสิ มหัศจรรย์สุด ๆ ไปเลยจริงมั้ย”
ปริมส่ายหัวเมื่อได้ยินคำตอบของคนที่กำลังเดินอยู่ข้างกาย นี่ก็เลิกเรียนแล้ว เพกายังคงมีแรงเต็มเปี่ยม เพราะเธอไม่ได้เข้าเรียนเลยสักคาบ แต่เหมือนเธอยังมีบุญเก่าที่สะสมมา ปริมจะคอยเก็บชีทงาน และบอกการบ้านที่ได้มาจากคาบเรียนให้ หากไม่มีเพื่อนสนิทคนนี้ คนแก่ห่างจากการเรียนมาหลายปีก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน... ขอบใจนะปริมวัยละอ่อน
“ว่าแต่แกกลับยังไง?”
“...?”
“อะไร?”
“นี่เราสนิทกันแล้วใช่มั้ย?” ปริมถาม
“ก็ใช่ไง สนิทกันมาเป็นสิบปีแล้วจำ...”
จำอะไรของหล่อนล่ะ ถ้าจะพูดถึงความสนิทสนมของเพกาและปริม มันจะค่อย ๆ เริ่มขึ้นตอนพวกเธออยู่ชั้นม. 6 และลากยาวไปจนถึงมหาวิทยาลัยเพราะเรียนคณะเดียวกัน ไม่ใช่ตอนนี้ อย่างที่รู้ ทั้งเพกาและปริมเป็นเหมือนแกะดำของห้อง ปริมไม่ค่อยสนใจใคร ไม่ยอมโอนอ่อนไปตามกระแส เธอจะมีหลักยึดมั่นของเธอ ซึ่งไม่ค่อยมีใครเข้าถึง ต่างจากเพกา ที่เธอไม่ค่อยกล้าปฏิเสธใคร เธอเลยกลายเป็นของเล่นของตัวจี๊ดประจำห้องอยู่บ่อย ๆ พูดง่าย ๆ เธอโดนบุลลี่อยู่บ่อยครั้ง มันเลยกลายเป็นความทรงจำอันเลวร้ายที่ติดตัวเธอจนถึงทุกวันนี้
ปริมเป็นทั้งเพื่อน และผู้มีพระคุณ เธอฉุดเพกาออกมาจากวงจรอุบาทว์นี้และเป็นเพื่อนกับเธอจนถึงปัจจุบัน แถมยังลากเธอไปเรียนยูโดเพื่อต้องการให้เพกาได้ออกกำลังกาย และป้องกันตัวเองจากสังคมอันเลวร้ายนี้ด้วย จากเพกาเลเวล 1 เลยค่อย ๆ กะเทาะเปลือกออกมากลายเป็นเพกาเลเวล 99 ได้ในที่สุด
จากกระต่ายน้อยอีโวลลูชั่นเป็นหมาบ้านั่นเอง
“กลับด้วยนะ บ้านเราห่างกันนิดเดียวเอง...” เพกาพยายามเปลี่ยนเรื่อง พร้อมกระโดดเกาะแขนเพื่อนสนิท กะพริบตาปริบ ๆ เพราะต้องการให้เธอตามใจ “นะปริม”
“เปลี่ยนเรื่องเก่ง” แต่ก็โดนรู้ทัน
“ขับมอเตอร์ไซค์มาใช่มั้ย กลับด้วย” เพกางัดลูกไม้อ้อน
“แล้วพ่อเธอล่ะ ไม่มารับเหรอ?”
“พะ... พ่อ”
เพียงสิ้นเสียงคำคำนี้ ตัวของเธอก็ชาวาบไปทั้งร่าง เพราะคิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง เธอลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร ในเวลานี้พ่อของเธอยังมีชีวิตอยู่ ยังมีความสุขกับการใช้ชีวิต ไม่เจ็บป่วย หรือไม่โดนใครหลอกอย่างที่เธอจำได้... พ่อของเธอยังไม่ตาย และกำลังจะมารับเธอในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
แขนทั้งสองข้างตอนนี้กลายเป็นไร้เรี่ยวแรงปล่อยแขนของปริมให้เป็นอิสระเรียบร้อย ดวงตาทั้งคู่ค่อย ๆ ร้อนผ่าวเผยเห็นน้ำใส ๆ ที่กำลังไหลลื่นออกมาจากท่อน้ำตาอย่างช้า ๆ เด็กสาวทรุดตัวลงนั่งยองกับพื้น มือที่เหลืออุดปากเอาไว้ กลั้นเสียงสะอื้นที่อาจจะเล็ดลอดออกมา
“นี่... ไหวมั้ย?” ปริมย่อลงมาตามความสูงที่ลดลง มองดูคนที่มีอาการแปลกไป
“พ่อฉัน... พ่อฉันยังอยู่”
“ใช่ไง เมื่อวานฉันก็เห็นว่าพ่อเธอมารับ”
“ฉันกลับก่อนนะ”
“อ้าว!”
ไม่ทันไรคนที่โดนตามตื๊อก็กลายเป็นผู้โดนทิ้งไปเสียแล้ว เพกากึ่งเดินกึ่งวิ่ง ไม่สิ วิ่งเลยจะดูเหมาะสมกว่า หวังว่าจะช่วยย่นระยะทางระหว่างเธอและพ่อของเธอลงได้บ้าง นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้เจอ แม้จะโหยหาเพียงใดก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้พบ เพราะท่านได้จากเธอไปอย่างน่าสงสาร
การไม่รู้มันเป็นบาป เพราะความไม่รู้นี่แหละ ทำให้พ่อเธอต้องตายจากไป ทิ้งให้เธอและแม่ต้องสู้ชีวิตเพียงลำพัง อย่างน้อยตอนนี้ก็อาจจะช่วยได้ ช่วยให้พ่อของเธอไม่ต้องจากไปจากเธอแบบนั้น ไม่ได้ต้องการชีวิตที่ดีขึ้น แต่ต้องการให้คนที่รักยังอยู่กับเธอ และจากไปในเวลาที่สมควรก็พอ
“พ่อคะ!!”
เพกาตะโกนเรียกจนสุดเสียง เมื่อเห็นคนที่คุ้นตามยืนพิงรถยนต์คู่กาย รอลูกสาวเพียงคนเดียวกลับจากโรงเรียน ใบหน้าที่อิ่มไปด้วยความใจดีและแสนจะอบอุ่น หันมาสบตากับลูกสาวสุดที่รัก รอยยิ้มที่แสนคิดถึงค่อย ๆ เปิดออกต้อนรับลูกสาวของตนเหมือนทุกครั้ง
หมับ!!
ไม่สนว่าสายตาใครจะมองว่าเธอเป็นลูกแหง่ติดพ่อ เธอกระโดดกอดพ่อที่ไม่ได้เจอกันนานด้วยความรัก และความโหยหา ความคิดที่ยังคงโทษแต่ตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกในวันที่ท่านจากไป กำลังแล่นเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง เธอกล่าวขอโทษไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในใจ หากวันนั้นเธอไม่คิดถึงแต่ตัวเอง พ่อของเธอก็คงไม่จากไปแบบนี้
“เป็นอะไรไป ทำไมร้องไห้แบบนี้”
เพกาส่ายหัวปฏิเสธ ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของเธอยังจมอกอันแสนอบอุ่น และกลิ่นที่แสนคิดถึงนี้อยู่
“อายเขาน่า ปล่อยพ่อได้แล้ว”
“เพคิดถึงพ่อมากเลยนะ รู้มั้ย” เสียงที่ฟังอู้อี้จนแทบไม่รู้เรื่อง แต่กลับทำให้คนฟังตกใจกับพฤติกรรมที่แปลกไปของลูกสาว “อย่าหายไปอีกนะคะ อยู่กับเพ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
“จ้า ๆ” เขาค่อย ๆ ลูบหลังลูกสาวอย่างช้า ๆ แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่ตอนนี้เธอกำลังเศร้า และมีเพียงเขาที่จะสามารถปลอบความเศร้านี้ลงได้ “หิวมั้ย อยากกินอะไร?”
เพกาเงยหน้าขึ้นมาพร้อมทั้งน้ำมูกน้ำตาอย่างไม่อาย “กับข้าวที่พ่อทำค่ะ
“ไอ้ขี้หมาเอ๊ย”
เป็นประโยคที่ชวนให้คิดถึงเสียจริง มีเพียงคนเดียวเท่านั้นแหละที่จะเรียกเธอแบบนี้ และด้วยน้ำเสียงแบบนี้ และนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เธอย้อนกลับมายังอดีตก็ได้ ในเมื่อมีโอกาสแล้ว จะต้องลองรักษาความสุขของตัวเองดูสักครั้ง