บทที่6
หลิวอี้สงจึงสั่งบ่าวไพร่ตั้งสำรับ นานๆ จะได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา ท่ามกลางบรรยากาศครอบครัวสุขสันต์
“พี่ใหญ่ น้ำแกงไก่ดำ ทานร้อนๆ ช่วยขับเลือดลม” หลิวเจียลี่รับถ้วยน้ำแกงจากสาวใช้ส่วนตัวของนางแล้ววางถ้วยตรงหน้าหลิวชิงชิง
ชิงชิงรับมาอย่างไม่อิดออด วันนี้นางจะกินให้หมดทุกอย่างเลย หลายวันที่ผ่านมา เรือนของนางได้รับกับข้าวเพียงสองอย่างในแต่ล่ะมื้อ เป็นเพียงผัดผักและน้ำแกงเท่านั้น
“ดูสิเจ้าค่ะ ลี่เอ๋อร์อายุเพียงเท่านี้ รู้จักเป็นห่วงใยคนอื่น” หลิวฮูหยิน รีบอวดลูกสาวให้ผู้เป็นสามีฟัง นานๆ จะได้มานั่งทานข้าวร่วมกัน เพราะปกติ แยกทานเรือนใครเรือนมัน
“ข้าตุ๋นน้ำแกงไปเยี่ยมพี่ใหญ่ที่เรือนทุกวันเจ้าค่ะ ท่านแม่”
ชิงชิงก้มหน้าเข้าหาชามข้าว เยียดมุมปากเล็กน้อยไม่ให้ใครสังเกตเห็น ตุ๋นน้ำแกง ต้มตุ๋นล่ะสิไม่ว่า หมาซักตัวข้ายังไม่เคยเห็นไปเยี่ยมแม้แต่เงา มือบางยกน้ำแกงไก่ขึ้นซด
“แค่กๆ” ชิงชิงสำรักน้ำแกงไก่ ไม่ใช่น้ำแกงแล้ว นี่มันน้ำเกลือชัดๆ
“พี่ใหญ่ ร้อนหรือเจ้าค่ะ มาข้าเป่าให้” หลิวเจียลี่แย่งถ้วยน้ำแกงไปเป่าจนหายร้อน แล้วน้ำมาจ่อริมฝีปากชิงชิง “ทานให้หมดเลยนะเจ้าค่ะ ข้าเคี่ยวเองกับมือ”หลิวเจียลี่ทำสีหน้าท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
ชิงชิงเห็นสีหน้าคาดหวังจากทุกคนภายในห้อง หากจะเปิดโปงเจียลี่ หลิวฮูหยินไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ แน่ เอาว่ะ ข้าจะให้พวกเจ้ารังแกข้าเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน เมื่อตัดสินใจได้จึงกลั้นใจดื่มน้ำแกงจนหมดถ้วย ตายๆ ไตพังแน่ๆ วันนี้
หลิวอี้สงมองบุตรสาวที่รักใคร่กลมเกลียวกัน ก็อดภูมิใจในตัวฮูหยินไม่ได้ คิดไม่ผิดที่แต่งนางเข้ามา หลังจวนถึงได้สงบสุขเพียงนี้ ไม่วุ่นวายเหมือนจวนอื่นๆ
หลิวชิงชิงมิสนทนาอันใดต่อ การกลั่นแกล้งภายในจวนมักจะป็นแบบนี้เสมอ ไม่โจ่งแจ้ง ลงมือแนบเนียนและนางเอกก็ไม่สู้คน ชิงชิงร่วมสนทนาเพียงไม่กี่คำเออออไปด้วยตามมารยาท ตั้งหน้าตั้งตากินอาหารตรงหน้า วันนี้ไม่จุกไม่วางตะเกียบ ตุนเอาไว้เพราะมื้อต่อไปอาจมีเพียงแค่ผัดผัก คิดซะว่ามากินบุฟเฟต์
ยามอิ๋น (03.00 – 04.59 น.) บ่าวไพร่ในจวนวิ่งกันให้วุ่นวาย เสียงอึกทึกครึกโครมดังไปทั่วบริเวณลานใหญ่หน้าจวนคุณหนูใหญ่จะเดินทางไปรักษาตัวที่บ้านเดิมของมารดา หลิวอี้สงสั่งคนให้เตรียมของรถม้าและสัมภาระให้หลิวชิงชิงเดินทางด้วยตัวเอง เนื่องจากห่วงบุตรสาว ทั้งยังจ้างสำนักคุ้มภัยฝีมือดีที่สุดที่ใช้งานเป็นประจำให้ร่วมเดินทางไปด้วย
จากเดิมหลิวฮูหยินจะส่งคนสนิทจะลอบขนถ่ายสินเดิมของอี๋นัวออกมาจากคลังสมบัติ แต่พอรู้ว่าสามีจะเป็นคนลงเมื่อเตรียมการเอง ได้แต่เก็บความเคียดแค้เอาไว้ภายใน สมบัติที่นางคิดว่าซักวันต้องเป็นของลูกสาวนางกลับต้องถูกผู้อื่นแย่งชิงไป
เช้าวันนั้น มีหนึ่งคนยิ้ม แต่มีอีกสามคนน้ำตาตกใน
“คุณหนูเจ้าค่ะ ทำไมท่านดีใจที่ได้ไปอยู่ที่อื่นถึงเพียงนี้” การเดินทางออกไปอยู่ไกลถึงฉางอัน แบบไม่มีกำหนดกลับ ไม่ต่างกับถูกขับออกจากจวนเลย
หลิวชิงชิง เปิดม่านรถม้า มองดูขบวนสำภาระ นิ้วขาวเรียวโพล่พ้นจากชายเสื้อ
“จางจิ้ว เจ้าดูนั้นสิ รถม้าที่ขนข้าวของและเงินทองกี่คันรถ ตอนอยู่จวนตะกูลหลิวข้ามีเบี้ยหวัดเพียงสิบตำลึงเงิน แถมถูกแม่ใหญ่และน้องๆ ค่อยกลั่นแกล้ง ข้าวจะกินแต่ล่ะมื้อก็น้อยนิด แต่ดูสิพอข้าได้เดินทางออกไปอยู่ห่างไกล กลับมีสมบัติถึงสามสิบหีบ อยู่ที่ใดไม่สำคัญเท่าอยู่แล้วมีตำลึงจับจ่ายใช่หรือไม่”
จางจิ้วคิดตาม ฟังคุณหนูพูดแล้วมองตามนิ้วยาวเรียว เห็นรถม้าที่วิ่งตามหลายคันก็พยักหน้า ก็จริงอย่างที่นางว่า “ไม่ว่าคุณหนูอยู่ที่ใดข้าก็จะอยู่ด้วยเจ้าค่ะ”
แม่ใหญ่ น้องๆทั้งสองคน พี่สาวคนนี้มีอะไรฝากบอก
เอาล่ะ หมดโคต้าลงแล้วจริงๆ เจอกันตอนหน้าวันที่ 30/11/65 นะคะ มาลุ้นกันว่าพรนับพันจะได้ไปมีชีวิตปกติสุขที่เมืองฉางอันแบบที่วาดฝันเอาไว้หรือเปล่า