บทที่ 5
หลิวชิงชิง หมายมั่นปั้นมือว่าต้องพาตัวเองย้ายออกจากจวนไปอยู่ที่อื่นให้ได้ และจุดมุ่งหมายคือฉางอัน แต่ด้วยยังเป็นคุณหนูในห้องหอ จะทำการอันใด ต้องผ่านบิดามารดา และนางยังต้องการเบี้ยหวัดในการดำรงชีพ
“คุณหนูเจ้าค่ะ นายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” ชิงชิง ให้จางจิ้งไปยืนเฝ้าแถวๆ ประตูจวน หากท่านพ่อกลับมาแล้วให้รีบมาตามนาง นางมีเรื่องสำคัญต้องการคุยด้วย
“เจ้าเดินนำข้าไปพบท่านพ่อเดี๋ยวนี้” ชิงชิงแทบจะวิ่งออกจากเรือน ทำเอาจางจิ้ง บ่นมาตลอดทาง ความเป็นกุลสตรีแทบไม่มีหลงเหลือ
หลิวชิงชิงก้าวเข้ามาในเรือนหลัก ไม่ต้องเดาให้เหนื่อย ชายที่นั่งหัวโต๊ะแต่งตัวภูมิฐาน คือประมุขของบ้านบิดาของหลิวชิงชิง หลิวอี้สง
“คาราวะท่านพ่อเจ้าค่ะ”
“เจ้าหายดีแล้วเหรอถึงมาเรือนใหญ่ได้” หลิวอี้สงเพ่งมองดูใบหน้าบุตรสาวคนโต ใบหน้ายังซีดเซียวอยู่ เหตุใดนางจึงเดินฝ่าลมหนาวเดินมาถึงเรือนหลัก
“ลูกมีเรื่องสำคัญจะเรียนท่านพ่อเจ้าค่ะ” ชิงชิง เดินไปทรุดนั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่ง ด้านซ้ายมี หลิวเจียลี่ หนุ่มน้อยหน้ามนนั้นคงเป็นน้อยชายคนเล็ก คุณชายสามหลิวจางเว่ย
“พี่ใหญ่ยังไม่หายดี ไม่ควรออกจากเรือนมา หากอาการกำเริบจะทำเยี่ยงไร” พอได้ยินว่าหลิวชิงชิง มีเรื่องจะคุยกับบิดา แม้นางจะมีมารดาหนุนหลัง แต่ครั้งนี้นางลงมือหนักเกินไป จึงร้อนตัวกลัวพี่สาวจะฟ้องว่านางเป็นคนผลัก ทำให้ตกสระบัว ปกติพี่สาวนางเชื่อฟังท่านแม่ไม่เคยฟ้องเวลาถูกกลั่นแกล้ง แต่ก็ไม่ใช่ไม่กลัว หากนางเกิดอุตริฟ้องขึ้นมาภาพลักษณ์คุณหนูผู้แสนจิตใจดีของนางมิแค้วต้องป่นปี้ แล้วเหตุใดวันนี้หลิวชิงชิงจึงมาถึงเรือนหลักได้
“ใช่แล้ว พี่ยังไม่หายดี เหตุนี้จึงมาขออนุญาตท่านพ่อเดินทางไปรักษาตัวที่บ้านเก่าท่านแม่จะได้หรอไม่เจ้าค่ะ” ชิงชิงหันไปคุยกับบิดา
“จะไปอยู่ไกลขนาดนั้นได้ยังไง เจ้าเพิ่งอายุ 15 หนาว” ถึงเขาจะแมบไม่เคยเจอหน้าลูกๆ แต่จะให้ไปอยู่กัวเมืองห่างไกลได้ยังไง
“ท่านพ่อ ลูกกินยาตามเทียบที่ท่านหมอจัดให้อาการก็ยังไม่ทุเลา แค่เจอลมหนาวเพียงนิดก็สั่นไปถึงกระดูก จึงอยากเดินทางไปรักษาตัวในเมืองที่อากาศอบอุ่นซักนิด”
“ท่านพี่ น้องว่าให้ชิงเออร์ไปอยู่ฉางอันมีแต่ข้อดีน่ะเจ้าค่ะ ทั้งรักษาตัวและได้ไปอยู่บ้านเดิมที่มารดาอยู่ ชิงเออร์คงอยากสัมผัสว่ามารดามีชีวิตอยู่เยี่ยงไร สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น อยู่ที่นี้รังแต่จะป่วยหนักว่าเดิม เห็นแก่ชีวิตให้นางไปเถอะนะเจ้าค่ะ” หลี่เว่ย สบโอกาสก็รีบสนับสนุนหลิวชิงชิงทันที่ ในเมื่อตัวมารจะออกไปอยู่ที่อื่นให้พ้นหูพ้นตา ใยนางจะไม่สนับสนุน
“เฮ้อ เห็นแกสุขภาพของเจ้า พ่อจะจัดเตรียมคนให้ เด็กๆ ส่งจดหมายไปแจ้งตระกูลหลี่”
“ท่านพ่อ ข้าขอนำสินเดิมท่านแม่ไปด้วยได้หรือไม่”
หลี่เว่ยอยากจะตะโกนถาม แกจะเอาไปทำไม อยากไปก็ไปแค่ตัว แต่ก็ทำอะไรต่อหน้าสามีมากไม่ได้เพราะภาพลักษณ์ที่นางสร้างเอาไว้ ทำได้เพียงลอบกำมัด และนั่งลุ้นคำตอบจากปากสามี หลี่อี้นั๋วเป็นลูกสาวของฮูหยินเอกตอนแต่งเข้ามามีสินเดิมถึงสามสิบหีบ ส่วนนางเป็นเพียงลูกอนุได้สินเดิมแต่งเข้ามาเพียงสิบหีบ นางอุตส่าห์ดูแลสินเดิมของหลี่อี้นั๋วเอาไว้ วันใด หลิวเจียลี่ ลูกสาวคนเดียวแต่งออกไปสินเดิมต้องไม่น้อยหน้าใคร
“ท่านพ่อ ข้าเดินทางไปคราวนี้ ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด หนทางนั้นลำบากไหนจะค่ายหยุกค่ายาที่ต้องใช้รักษาระหว่างทางค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทาง หากไม่มีทรัพย์สินติดตัวไป คาดว่าคงไม่รอดถึงฉางอัน ข้าเพียงนำแค่สินเดิมของท่านแม่ที่เป็นสิทธิ์ของข้าไปเท่านั้น มิได้ยุ่งกับทรัพย์สมบัติส่วนของผู้อื่นในจวน ท่านพ่อโปรดเมตตา” ในเมื่อทำท่าอึกอัก ไม่ยอมมอบสินเดิมให้ ก็ต้องอ้างถึงมารดานี้ล่ะ หลิวชิงชิงไม่รู้หรอกว่าสินเดิมของมารดามีมากน้อยแค่ไหน เพราะอยู่ในเรือนไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่จะให้นักบัญชีอย่างพรนับพัน ไปตัวเปล่าฝันไปเถอะ ต้องได้อะไรติดไม้ติดมือออกไปด้วย
“ได้ สินเดิมมารดาเจ้า ข้ามอบจะมอบให้นำไปฉางอันด้วย ข้าและจะให้คนของสำนักคุ้มภัยไปส่งเจ้าถึงประตูจวนหลี่” แม้จะแปลกใจไม่น้อยที่บุตรสาวคนโตพูดจาฉะฉานขึ้น แต่ก็ไม่ได้คิดมากอันใด ดีกว่านางนิ่งเงียบ หลิวอี้สงตัดสินใจให้หลิวชิงชิง นำสินเดิมมารดาไปด้วย อย่างที่นางกล่าวไม่มีอันใดผิดหากนางต้องการเอาไปด้วย ก็ย่อมได้เพราะเป็นสิทธิ์อันชอบธรรม ที่ผ่านมาหลี่ฮูหยินช่วยดูแลก็รักษาเอาไว้ให้เป็นอย่างดี ก็เพื่อให้นางแต่งออกไปในวันหน้าอยู่แล้ว
ชิงชิงยิ้มออกมาไม่นึกว่าจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ข้าจะได้ใช้ชีวิตแบบสงบสุขเหมือนตอนอยู่โลกเดิมแล้ว แค่คิดรอยยิ้มก็เต็มไปทั้งดวงหน้าแววตาเป็นประกายระยิบระยับ
——————
อุ้ยๆ จะหนีวาสนาด้ายแดงเหรอจ๊ะหญิง มาดูกันระหว่าง ดาวพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก กับเนื้อเรื่องหลักใครจะเก่งกว่ากัน
จากนี้ไป ไรท์จะค่อยๆ ทำให้ ชื่อของดาว หายไป กลายเป็นนางเอกเต็มตัวไปเลย