"ยายเด็กกาฝากนั่นออกไปจากบ้านเราแล้วเหรอครับคุณแม่..." มือใหญ่ยกเครื่องดื่มขึ้นจิบ เขาฉวยจังหวะที่คนอื่นๆ พูดคุยนอกรอบสังสรรค์เฮฮาดื่มกินกันในบรรดาเครือญาติ
"ใครมันจะอยากออกมาเจอหน้าเราล่ะ...ทำกับเขาอย่างกับยักษ์กับมาร..." คุณหญิงกัญญาตอบไม่ตรงคำถามแต่ก็สรุปใจความได้ไม่ยาก
"หึ...หน้าด้านหน้าทนจริงๆ นะครับ สงสัยกะจะอยู่ฮุบสมบัติล่ะมั้ง ถึงเกาะติดเป็นปลิงไม่ยอมไปไหนแบบนั้น" รอยยิ้มเหยียดหยันเย้ยอยู่บนใบหน้าคมเข้ม ดวงตาลุกวาวยามกล่าวถึงบางคนที่เปรียบเสมือนเห็บเหาสำหรับเขา แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อก็ยังขยะแขยงจนแทบสำรอก
"แล้วจะให้เขาไปไหนล่ะ...ก็โตที่นี่อยู่ที่นี่มาตั้งสิบกว่าปีแล้ว จันทร์เจ้าไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรหรอก ไม่ชอบเขาก็ไม่ต้องไปใส่ใจ ต่างคนต่างอยู่" คุณหญิงเกริ่นแนะนำอย่างเป็นกลาง
"คุณพี่คะ...แม่ครัวบ้านคุณพี่นี่ฝีมือดีจริงๆ เลยนะคะ อาหารอร่อยทุกอย่าง แม้แต่เครื่องดื่มก็ยังพิถีพิถันหาครบแทบทุกแนว นี่ขนาดงานเล็กๆ ในครอบครัว ถ้างานใหญ่นี่คงไม่ต้องพูดถึง"
คุณหญิงกัญญาหันเหความสนใจไปยังลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งซึ่งหันมาชวนคุยสรรพเพเหระ นางยิ้มยินดี ได้ยินได้ฟังคำชื่นชมแล้วก็อดปลื้มใจไม่ได้ว่าตนเองได้ดูแลแขกเหรื่ออย่างไม่มีขาดตกบกพร่องแม้จะเป็นสังคมในครอบครัวก็เถอะ แต่ทุกรายละเอียดมันย่อมหมายถึงการเอาใจใส่
"คนเก่าคนแก่ทั้งนั้นค่ะน้องพิณ รู้ใจไปเสียทุกอย่าง ดื่มกินตามสบายนะคะไม่ต้องเกรงใจ ถ้าชอบก็แวะมาบ่อยๆ ได้ค่ะ"
"เกรงใจจังค่ะ...คุณพี่นี่โชคดีนะคะ มีลูกชายน่ารัก ว่าที่ลูกสะใภ้ก็สวยเพียบพร้อม คนในบ้านรึก็ไว้เนื้อเชื่อใจได้เสียทุกคน ผิดกับน้องค่ะ...เหนื่อย อะไรๆ ก็ต้องทำต้องจัดการเองไปเสียหมด ไว้ใจใครไม่ได้เลยค่ะแม้แค่ลูกผัว เฮ้อ!" คู่สนทนาเอ่ยพลางบ่นแล้วถอนหายใจหน่ายๆ
"พี่เองก็ไม่ได้สบายไปเสียทุกอย่างหรอกค่ะ ปัญหาก็มีเหมือนๆ กัน อาจจะมากบ้างน้อยบ้างก็ว่ากันไป"
"แต่คงไม่มากเท่าน้อง...คุณพี่อายุมากกว่าตังหลายปียังดูสาวดูสวย แต่น้องสิคะ เครียดจนผิวพรรณมันเกินวัยไปมากโขแล้วค่ะ"
"ได้เครื่องสำอางช่วยปกปิดหรอกค่ะ เนื้อแท้ก็ไปไกลแล้วเหมือนกัน..." คุณหญิงตอบพร้อมกับรอยยิ้ม แต่สายตากลับเหลือบเหล่มองไปยังบุตรชายที่นั่งดื่มเงียบๆ อยู่ข้างๆ นางบ่อยครั้ง ใบหน้าที่นิ่งเฉยเย็นชาของฏสินตร์นั้นเดาทางไม่ถูกเลยว่าเขากำลังคิดการใดอยู่หลังจากพูดคุยเรื่องเด็กในอุปการะซึ่งเขาไม่ใคร่ชอบใจนัก
"ไม่ไปดูคู่หมั้นแกรึตาอาร์ม...เดี๋ยวเขาก็น้อยใจเอาหรอก" นางปลีกตัวจากคู่สนทนาบนโต๊ะมาคุยกับลูกชายบ้าง
"มิเกลเขาเฟรนลี่ครับเข้าได้กับทุกคน คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกเขาไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย อีกอย่างผมยังรู้สึกเหนื่อยแล้วก็ยังไม่ชินกับเวลาของที่นี่ด้วย" ชายหนุ่มให้เหตุผลที่เขาไม่ได้ยินดียินร้ายกับการจัดงานในคืนนี้มากนัก
"อืม...จะขึ้นไปพักก่อนก็ได้นะ บอกคนรักของแกสักหน่อยเขาจะได้ไม่คิดว่าถูกทิ้งไว้คนเดียว ที่นี่ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก พี่ๆ น้องๆ กันทั้งนั้น กินดื่มเสร็จเดี๋ยวดึกหน่อยก็คงทยอยกลับกันแล้ว" คุณกล่าวบอกด้วยเห็นอาการอ่อนล้าของบุตรชายก็นึกเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน
ฏสินตร์เป็นคนไม่ชอบเข้าสังคม ความกดดันต่างๆ และความรับผิดชอบทีเกินตัวมาตั้งแต่อายุยังน้อยมันทำให้เขาค่อนข้างชอบปลีกตัวใช้ชีวิตลำพังเสียมากกว่า ถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ แม้กระทั่งกับนางเองก็เป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้นที่ชายหนุ่มจะฟังความ จะว่าเอาแต่ใจก็ไม่เชิงเพราะเขารู้จักรับผิดชอบ เป็นประเภทโลกส่วนตัวสูงเสียมากกว่า
"งั้นผมขอตัว..." แก้วไวน์แดงในมือถูกวางลงบนโต๊ะ ก่อนที่ร่างใหญ่จะลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินตรงไปโอบร่างระหงของแฟนสาวซึ่งกำลังอยู่ในวงสนทนาของบรรดาญาติสนิทของเขา ชายหนุ่มกระซิบบอกบางอย่าง และเดินจากไปเมื่อแน่ใจว่ามิเกลสามารถอยู่ในงานเลี้ยงต่อได้โดยไม่มีเขา แต่แทนที่ร่างใหญ่จะเดินเข้าไปในบ้านเขากลับเปลี่ยนเส้นทางไปยังอีกที่หนึ่งด้วยความขุ่นมัวในใจ
คนอื่นๆ ในบ้านทั้งนายทั้งบ่าวต่างง่วนช่วยงานกันตัวเป็นเกลียวเพื่อรับรองแขกเหรื่อไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แต่ผู้อาศัยเปรียบเสมือนกาฝากกลับสบายตัวกินแล้วก็นอน
ตั้งแต่กลับบ้านมาเขายังไม่เห็นแม้แต่เงาของหล่อนเลย สันดานงูเห่า เลี้ยงดีอย่างไรมันก็ไม่มีวันเชื่องหรอก เลือดชั่วๆ ที่อยู่ในตัวมันก็ไม่มีวันเจือจางไปได้...