...ม่านมุกถอนหายใจออกมาเบา ๆ ไม่ว่าจะบอกอย่างไรเขาก็ไม่ยอม แถมยังทำหน้าตาแบบเดิมอีกด้วย แล้วเรื่องอะไรเขาจะยอม นี่บ้านเขา ทำไมต้องทำตามสิ่งที่หล่อนต้องการด้วย คนทิฐิสูงอย่างเขาไม่คิดที่จะทำตามคำพูดใครง่าย ๆ
จนแล้วจนรอดม่านมุกก็ต้องเดินคอตกไปหาลูกที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ ฝ่ามือบางวางลงบนศีรษะเล็ก
“เคี้ยวให้ละเอียดนะลูก”
“ค่ะ คุณแม่” หนูน้อยเงยหน้ามาตอบรับมารดา ก่อนที่ปุยเมฆจะชะเง้อคอมองผู้เป็นพ่อภายในห้องนั่งเล่น
“พ่อเขาจะนั่งพักสายตาสักหน่อยตรงนั้นน่ะ หนูไม่ต้องกลัวนะ พ่อไม่ทำอะไรหนู”
“คุณพ่อหน้าบูด”
“หึ แต่คุณพ่อไม่เคยตีหนูถูกไหม”
“ช่าย~” ตอบรับเสียงสดใส ถ้าเขาไม่คิดปรับปรุงตัว ก็คงต้องบอกให้ลูกปรับปรุงตัวแทน อย่างน้อยลูกสาวก็ได้ความรักจากผู้เป็นพ่อบ้าง
...ม่านมุกพาลูกสาวกลับมานั่งทำการบ้านที่พื้นพรม ส่วนเมฆคินทร์เขาพริ้มตาหลับอิงพนักพิงเก้าอี้ เธอรู้ว่าเขาไม่ได้หลับ
“เอ่อ ฉันจะทำอาหารให้ค่ะ พอดีมีเครื่องครัวทำพะแนง คุณเมฆคินทร์หิวยังคะ” เสียงหวานดังอยู่ไม่ไกล เปลือกตาหนาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เห็นเธอกุมมืออยู่ที่หน้าขา ทำตัวไม่ต่างจากคนใช้
“จะทำก็ทำ แล้วทำไมยืนอย่างนั้น เป็นคนใช้หรือไง” เอ่ยย้ำ คำนี้ทำให้นึกถึงสิ่งที่ธนภพพูด เขาเอาคนใช้ทำเมีย ไม่สมศักดิ์ศรีไฮโซอย่างเขาเลยสักนิด “เธอเป็นเมียฉันก็ช่วยทำตัวให้มันเหมือนเมีย ไม่ใช่คนใช้”
“เอ่อ...” ม่านมุกชะงักไปในทันที คำว่าเมียของเขามันก้องกังวานในหู ในใจรู้สึกดี แต่อีกใจหนึ่งก็รับรู้ว่าเขารังเกียจเธอในฐานะคนใช้ ที่เป็นสาเหตุให้เขาโดนสังคมล้อ พูดถึงเรื่องนี้ตลอด
“โอเคค่ะ” เธอเอ่ยเสียงอ่อน “ฝากดูลูกด้วยนะคะ”
เขาไม่ตอบ แค่ชำเลืองสายตามองเด็กน้อยที่นั่งระบายสีอยู่บนพื้นพรม โดยมีโต๊ะญี่ปุ่นเล็ก ๆ สำหรับวางกระดาษและถาดสี
...ม่านมุกโน้มตัวลงบอกลูกว่าตนจะไปทำอาหารให้ผู้เป็นพ่อ ซึ่งลูกสาวนั้นงอแงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมา ปุยเมฆชำเลืองสายตามองผู้เป็นพ่อเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าก้มตาระบายสีโดยไม่ได้พูดอะไร
เวลาผ่านไปไม่นาน สายตาคมที่เอาแต่จับจ้องแผ่นหลังน้อย ๆ ของลูกสาวนั้นก็เต็มไปด้วยคำถาม เมื่ออยู่ ๆ หนูน้อยก็มีท่าทีเหมือนกับหาอะไรบางอย่างอยู่ จะถามทิฐิก็ค้ำคอ
เช่นเดียวกับหนูน้อย ปุยเมฆเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง อยู่ ๆ สีชมพูก็หายไป มือป้อมสั้นพลิกกระดาษหา ก้มลงมองใต้โต๊ะก็หาไม่เจอ กระทั่ง
“หาอะไร” เสียงทุ้มของผู้เป็นพ่อดังขึ้นทางด้านหลัง ปุยเมฆสะดุ้งโหยง แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมา
“สะ สีชมพูหายค่ะ” เอ่ยตะกุกตะกัก เด็กอายุเจ็ดขวบถือว่าพูดได้ชัดถ้อยชัดคำ ลูกสาวพัฒนาการดีมาก
“หาดีหรือยัง” เอ่ยพร้อมกับกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณหน้าโซฟา รวมถึงช่องเล็ก ๆ ใต้โซฟาด้วย แต่เพราะแสงน้อยและเป็นโซฟาขนาดใหญ่ทำให้มองไม่เห็นด้วยความมืด
“สงสัยจะกลิ้งเข้ามานี่” เขาคาดคะเนว่าดินสอสีคงกลิ้งไปที่ใต้โซฟาโดยที่ไม่รู้ตัว
“ทำยังไงคะ” ปุยเมฆอยากใช้สีชมพูระบายกระโปรงของผู้เป็นแม่
“คงเอาไม่ได้” ตอบเสียงเรียบ ทว่าพอปุยเมฆได้ยินอย่างนั้นก็เริ่มเบ้หน้าด้วยความเสียใจ เล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับผู้ใหญ่นั้นไม่เล็กสำหรับเด็ก ซึ่งพอลูกสาวมีท่าทีจะร้องไห้ สมองของเขาก็เริ่มคิดหาทางออกทันที
“เอาอย่างนี้ เดี๋ยวจะทำให้ดู” ไม่อยากให้ลูกร้องไห้เท่าไรนัก เสียงดังน่ารำคาญ แถมม่านมุกอาจจะคิดว่าเขารังแกลูกอีกด้วย
“อึก ค่ะ” ปุยเมฆตอบรับโดยไม่รู้ว่าผู้เป็นพ่อจะทำอะไรให้ เมฆคินทร์นั่งลงที่พื้นพรมทางด้านล่าง หยิบดินสอสีขาวขึ้นมา
“นี่สีอะไร” เอ่ยถามเสียงเรียบ แถมยังมีสีหน้าบึ้งตึงราวกับยักษ์ขมูขี แล้วใครจะกล้าตอบ เห็นอย่างนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายออกมา ลดความบึ้งตึงลง
“ขาว สีขาวค่ะ” ตอบเสียงแผ่วเบา ได้ยินอย่างนั้นมุมปากหนากระตุกยิ้ม ยอมรับว่าลุ้นในใจนานพอสมควร กลัวว่าลูกสาวจะตอบผิด ตนเสียเงินค่าเทอมให้เรียนเตรียมอนุบาลไม่ใช่หมดไปน้อย ๆ อย่างน้อยก็ต้องแยกสีออกแหละหว่า
“ละนี่ล่ะ” ว่าพร้อมกับชูดินสอสีแดงขึ้นมาบ้าง
“เอ่อ แดงค่ะ”
“หึ เก่งมาก” ตอบกลับไวพร้อมกับฉีกยิ้มโดยไม่รู้ตัว เมฆคินทร์ค่อย ๆ ลงสีขาวใส่กระดาษเอสี่ โดยมีสายตาของคนเป็นลูกมองไม่วางตา ก่อนจะค่อย ๆ ลงสีแดงตามหลัง
“สีชมพู!” ปุยเมฆร้องเสียงดังลั่นด้วยความแปลกใจที่อยู่ ๆ สีแดงที่คนเป็นพ่อระบายลงไปนั้นจะกลายเป็นสีชมพูที่เธอตามหา
“ใช่แล้ว สีขาว...” ว่าพร้อมกับชูดินสอสีขาวขึ้น ก่อนจะหยิบดินสอสีแดงขึ้นมา “และก็สีแดง ผสมกันจะกลายเป็นสีชมพู”
“จริงด้วย!” ปุยเมฆร้องออกมาเสียงดัง ราวกับเจอสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ เป็นเวทมนตร์อะไรทำนองนั้น ซึ่งเสียงร้องของลูกทำให้คนที่อยู่ในครัวได้ยิน ม่านมุกรีบเดินออกมา แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นแผ่นหลังหนาของคนเป็นสามีที่นั่งอยู่บนพรม เธอตกใจมาก
...แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมา หญิงสาวลอบมองทางด้านหลัง สองพ่อลูกที่พูดคุยกันนั้นทำให้หัวใจของเธอฟูฟ่องขึ้นมาราวกับขนมในตู้อบ ลูกบอลลูนที่ลอยอยู่ในใจนั้นทำให้เธอฉีกยิ้มออกมาไม่หยุด สักครั้ง ขอแค่สักครั้งที่บุตรสาวรับรู้ถึงการมีพ่อ
ทว่า
“แม่จ๋า!” ปุยเมฆกลับส่งเสียงร้องเรียกผู้เป็นแม่ออกมาดังลั่น ทำให้เมฆคินทร์ตกใจ เขาหันขวับไปทางด้านหลัง ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เต๊ะท่า ทำทีเก๊กขรึมเหมือนเดิม
“จ๋า หนูทำไรคะ”
“สี คุณพ่อบอก” ว่าแล้วก็จูงมือมารดามาดู แถมยังผสมสีให้คนเป็นแม่ดูด้วยความตื่นเต้น ลูกสาวฉลาดเรียนรู้เร็วมาก
ม่านมุกเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูง สายตาของเธอทำให้เขากระแอมเสียงออกมาเบา ๆ
“เสร็จละเหรอ กับข้าว” พอได้ยินอย่างนั้นก็ตาโตขึ้นมา จำได้ว่าตัวเองต้มน้ำไว้
“เดี๋ยวมานะคะ” ม่านมุกรีบลุกขึ้นวิ่งกลับเข้าครัว ท่าทีของหล่อนนั้นทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ อยากยิ้ม แต่ก็มีหลายอย่างที่วิ่งวุ่นเข้ามาในหัว เธอคือผู้หญิงที่ทำให้เขาต้องบอกเลิกแฟนสาว เธอคือลูกสาวคนขับรถที่พาพ่อแม่ของเขาไปตาย เธอคือคนรับใช้ที่ไม่มีเกียรติ สุดท้ายแล้ว...ใบหน้าของเขาก็นิ่งเรียบเช่นเดิม...
หลังจากมื้อค่ำ...ม่านมุกก็พาลูกเข้านอน เธอนอนกับลูกสาวเป็นประจำ ส่วนผู้เป็นสามีนอนอีกห้องหนึ่งฝั่งตรงข้าม หากว่าเขาเรียกให้เธอไปหา บางคืนเธอก็ต้องนอนกับเขาเพราะผล็อยหลับด้วยความอ่อนเพลีย
ซึ่งลูกสาวก็โตพอที่จะนอนแยกห้องกับเธอแล้ว ทว่าวันนี้ด้วยความที่เขากลับบ้านมาไว ทำให้ปุยเมฆยังนอนไม่หลับ ส่วนตัวเขาก็มีความต้องการ
แกร๊ก~
เขาเปิดประตูพรวดเข้ามาในห้องของเธอ ทำเอาสองแม่ลูกตกใจ
“เอ่อ มีอะไรคะ” เขามองนิ่ง เลื่อนสายตามองลูกสาวที่ไม่ยอมนอนเสียที เมฆคินทร์จะกลับไปดื่มกับเพื่อนก็กระไรอยู่ เขาไม่อยากเจอหน้าธนภพเลย กลัวว่าจะได้ซัดหน้าอีกฝ่ายน่ะสิ
“เธอรู้ว่าฉันต้องการอะไร” เอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะเลื่อนสายตามองคนเป็นลูก “นอนได้แล้ว พ่อแม่มีเรื่องต้องทำ”
“คุณ!” ม่านมุกโพล่งเสียงออกมา ไม่คิดว่าเขาจะพูดต่อหน้าลูก แม้นว่าลูกจะยังไม่รู้ความก็ตามแต่
“หึ...” เขาแค่นหัวเราะ ก่อนจะงับประตูลง ชายหนุ่มกลับไปนอนรอภรรยาสาวบนที่นอนด้วยสีหน้าเบื่อสุดขีด ถ้าคืนนี้ไม่ได้ออกแรง มีหวังนอนไม่หลับแน่
...นานพอสมควรกว่าบานประตูห้องนอนจะถูกเปิดออก เมฆคินทร์ที่นอนพลิกตัวไปมานั้นก็ยันตัวลุกขึ้นทันที
“ลูกเพิ่งหลับค่ะ” ม่านมุกเอ่ยเสียงแผ่วเบา วันนี้เธอก็ยังไม่พร้อมเท่าไร แต่ก็กลัวว่าถ้าเกิดให้เขาไม่ได้ เขาจะไปลักกินข้างนอก แน่นอนว่าเธอรักเขา ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น...