“เฮ้ย! หมวดใจเย็นๆ ก่อนดิ นี่มันในโรงพยาบาลเลยนะ”
หญิงสาวรีบร้องเตือนสติ รวบรวมแรงอันน้อยนิด ดึงรั้งร่างสูงใหญ่เหมือนยักษ์ที่พร้อมมีเรื่อง กลับมายืนที่เดิม
สองหนุ่มสาวที่กำลังเถียงกันไม่หยุดและยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่บริเวณโซนนั่งพักที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้ เรียกสายตาของผู้คนให้หันไปหา แม้ในตอนนี้จะมีคนเหลืออยู่ในโรงพยาบาลไม่มากแล้วก็ตาม ไม่เว้นแม้แต่แพทย์ทั้งสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วย
“รัญ...” รสสุคนธ์เห็นเพียงด้านข้างก็รู้ได้ทันทีว่า ผู้หญิงที่กำลังฉุดผู้ชายร่างโตให้นั่งเก้าอี้อยู่นั้นเป็นน้องสาวของตัวเอง
ร่างระหงของคุณหมอเด็กเดินตรงดิ่งมาที่น้องสาวตัวเองทันที โดยมีคุณหมอผ่าตัดตามมาด้วยแบบงงๆ
“นี่ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะทั้งสองคน!” คุณหมอเด็กไม่ทำเพียงแค่พูด แต่ดึงแขนน้องสาวให้ออกจากแขนของนายทหารหนุ่มไปด้วย
“พี่รส!” คนที่ถูกดึงแขนออกหันหน้าไปทางเจ้าของมือ แล้วหน้าถอดสีทันที
รสสุคนธ์ทำหน้าดุน้องสาว ก่อนปรายตามองนายทหารหนุ่มอย่างคาดโทษเอาไว้ก่อน ลากสายตากลับมาหยุดที่น้องสาวอีกครั้ง
“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
แปลกใจที่เห็นน้องสาวอยู่ที่โรงพยาบาล ทั้งๆ ที่ตอนนี้ควรจะอยู่ที่บ้านกับยาย
หิรัญญิการ์รีบชี้นิ้วไปที่กระเป๋าถุงผ้า จ้องหน้าพี่สาวตาปริบๆ กลัวพี่สาวจะดุจนต้องหดคอ พยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด
รสสุคนธ์ไล่สายตาไปตามนิ้วเรียวของน้องสาวถึงได้รู้ว่าตัวเองก็มีส่วนผิดอยู่ไม่น้อย จากที่กำลังจะกล่าวตักเตือนน้องสาว เปลี่ยนไปหาคนที่ยืนจ้องหน้าเธออยู่ก่อนแล้ว
“แล้วนายล่ะปราบ นายมาอยู่ที่นี่ทำไม”
ร้อยโทปราบดายังเงียบ ไม่ได้เอ่ยตอบหญิงสาว ทำเพียงส่งสายตาตอบกลับด้วยแววตาตัดพ้อ ฉับพลันแววตานั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวยามมองคนที่อยู่ด้านหลังของหญิงสาว
“พี่ว่าพี่กลับก่อนดีกว่า ขอบใจนะรัญที่อยู่เป็นเพื่อนพี่” เขาหันกลับมาเอ่ยบอกกับหญิงสาวรุ่นน้อง
พูดจบไม่รอคำตอบ เดินหน้านิ่งผ่านรสสุคนธ์ไป ไม่ลืมที่จะชายตาไปทางมารหัวใจด้วยความแค้นใจ
คเชนทร์สัมผัสได้ถึงรังสีความไม่พอใจจากชายหนุ่มร่างใหญ่ที่เดินผ่านไป เขาเหลียวหน้าไปมองตามหลังคนที่เดินออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนหันกลับมาหยุดสายตาที่หญิงสาวร่างเล็กกะทัดรัด ที่ต้องเพ่งสายตาดูดีๆ ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
เพราะเธอสวมหมวกแก๊ปเก็บผมแบบลวกๆ มีปอยผมตกลงปรกใบหน้านิดหน่อย สวมเสื้อยืดตัวโคร่ง กางเกงขาสั้นกับรองเท้าแตะหูหนีบสีซีด
หิรัญญิการ์หน้าเหวอ หันมองตามหลังนายทหารหนุ่มไปที่กำลังหายลับไป
“อ้าวหมวด! ทิ้งกันงี้เลยเหรอ” เธอโวยวายขึ้นตามหลังแล้วหันกลับยิ้มเจื่อนเมื่อเห็นสายตาดุของพี่สาว “แหะๆ”
“ไม่ต้องมาหัวเราะ แล้วนี่ได้บอกใครที่บ้านไว้บ้าง” รสสุคนธ์ว่าน้องสาวเข้าให้
สิ้นเสียงพี่สาว ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เสียงคำสั่งเสียดิบดีของผู้เป็นป้าแล่นผ่านเข้ามาในสมองอย่างไว มือเล็กรีบกุลีกุจอล้วงกระเป๋ากางเกงหาสมาร์ตโฟนเครื่องสวยหรู
“รัญ...”
หิรัญญิการ์ยกมือขึ้นเพื่อห้ามพี่สาวให้หยุดการกระทำ ขณะที่สายตายังหลุบอยู่ตรงกระเป๋ากางเกง
“หยุด! พี่รสอย่าเพิ่งด่าได้ปะ รัญต้องการสมาธิหาโทรศัพท์”
รสสุคนธ์ส่ายหน้าอ่อนอกอ่อนใจ ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างหลังได้แต่มองสองพี่น้องเถียงกันอย่างไม่มีส่วนร่วม
คเชนทร์คลอนศีรษะน้อยๆ ‘ท่าจะแสบไม่เบา’ เขาคิดในใจ
“ไม่มี...” หิรัญญิการ์ดึงซับในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างออกมาที่มีแต่ความว่างเปล่า “รัญน่าจะลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้านน่ะพี่รส”
“หิรัญญิการ์!”
คุณหมอเด็กเรียกชื่อน้องสาวครั้งที่เท่าไรแล้วเธอไม่ได้นับ ก่อนจะเป็นเธอเองที่ก้มหน้าลงล้วงมือลงไปในกระเป๋าสะพายเพื่อควานหาสมาร์ตโฟนของตัวเองขึ้นมากดต่อสายหามารดา ถือสายรอไม่นานมารดาก็รับสาย
ปลายสายรัวคำพูดมาไม่หยุดด้วยน้ำเสียงร้อนใจ เธอได้เพียงแค่กดสายตาเคร่งขรึมใส่น้องสาวที่พอจะรู้ชะตากรรมตัวเองดี
“แม่คะ...น้องอยู่กับรสแล้วค่ะ...”
ในระหว่างที่รสสุคนธ์คุยกับมารดาอยู่นั้น หิรัญญิการ์เหลือบไปเห็นว่าคนข้างหลังพี่สาวยืนมองเธอแล้วหัวเราะขำอยู่ จึงถลึงตาใส่คนที่เสียมารยาทหัวเราะเยาะคนอื่นด้วยความไม่พอใจ
“ไปยัยรัญ พี่จะไปส่งเธอที่ร้านของสน คืนนี้แม่สั่งให้นอนที่ร้านกับพี่ชายสุดที่รักของเธอ”
เสียงของพี่สาวที่คุยกับป้าของเธอเรียบร้อยแล้ว ดึงความสนใจให้สายตากลับมามองหน้าพี่สาวตามเดิม
เธอยิ้มหวานระคนออดอ้อน “รัญขี่มอ’ไซค์ไปเองดีกว่า ร้านพี่สนอยู่แค่นี้เอง พี่รสจะได้ไม่ต้องเสียเวลาด้วย”
รสสุคนธ์ส่ายหน้าช้าๆ ไม่อนุมัติคำพูดของน้องสาว
“แต่...”
“พี่จะไปส่งเธอเอง” เธอกดเสียงโทนต่ำ ยืนยันคำพูดเดิม
หิรัญญิการ์งับปากแทบไม่ทัน ก้มหน้าลงด้วยท่าทีหงอยๆ ยอมพยักหน้าไม่กล้าดื้อกับพี่สาวอีก
“ไปรถผมก็ได้ครับ เดี๋ยวผมขับไปส่ง นี่ก็มืดแล้ว ขี่มอเตอร์ไซค์ไปกันเองน่าจะลำบาก” คเชนทร์ที่ยืนเงียบอยู่นาน เสนอความคิดเห็น
รสสุคนธ์เบี่ยงตัวมายืนด้านข้างพลางหันมองศัลยแพทย์ทั่วไปคนใหม่ของโรงพยาบาล พยักหน้ารับอย่างขอบคุณ พอหันกลับมาที่น้องสาวแล้วต้องหุบยิ้ม เปลี่ยนสีหน้าทันควัน
‘ไม่-ต้อง-ยุ่ง’