เมื่อเห็นเปลวไฟพุ่งเข้ามาหาตนเอง จือฮวนจึงยกมือทั้งสองข้างเพื่อปกป้องใบหน้างดงาม หากไฟดังกล่าวไม่ได้มีความร้อนเพราะถูกทำขึ้น กระนั้นก็สามารถสร้างความแสบร้อนและเผาไหม้ผิวหนังได้ อีกทั้งเสื้อผ้าที่นางสวมเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เหตุการณ์ต่อจากนั้นจึงชวนให้ตื่นตระหนก
จือฮวนดิ้นปัดไปมา ก่อนลงไปนอนกลิ้งบนพื้นดิน ภาพของนางช่างน่าสงสารยิ่งนัก ทว่าการที่กรรมไล่ล่านางอย่างรวดเร็วนั้น เพราะเรื่องนี้มีคนเตรียมการไว้
ยามนั้น เสียงหวีดร้องเสียงขอความช่วยเหลือดังขึ้น คนที่พุ่งเข้าให้ความช่วยเหลือจือฮวนก็คือห่าวเจีย และตามด้วยจือคัง ฝ่ายจือฮวนถูกไฟเผาเสื้อผ้าและหลังมือเป็นบริเวณกว้าง ถึงไฟจะดับลงในเวลารวดเร็ว แต่นางได้แผลหลายแห่ง และนับว่าโชคดีที่ใบหน้าไม่ได้รับอันตราย แต่เส้นผมไหม้ไปไม่น้อย สภาพนางจึงดูแย่ ทั้งมีอาการเสียขวัญ
“ห้ามไม่ให้ผู้ใดออกไปจากที่นี่ นางระบำทั้งหมดจับตัวไปไต่สวน เค้นหาความจริงให้ได้ ว่าใครสั่งให้พวกมันทำเรื่องร้ายแรงเช่นนี้”
จือคังออกคำสั่ง เขาสงสารน้องสาวจับใจ นางแสบร้อนที่แผล สะอื้นไห้อย่างหนัก น้องสาวเขาถูกตามใจจนเสียนิสัย นั่นเป็นเพราะขาดบิดา ทั้งมารดาได้หนีขึ้นเขาไปถือศีล
“อาฮวน... กลับเข้าเรือนรับรองให้หมอดูอาการเจ้าก่อนเถอะ สิ่งใดร้ายแรงอาจยับยั้งไว้ทัน” พี่ชายบอกเช่นนั้น แต่ทว่าจือฮวนยังแค้นทุกคน โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าสวีเกาหานยังนั่งอยู่ที่เดิม ข้างกายเขามีร่างนักพรตน้อยอยู่ บัดซบภาพดังกล่าวส่งเสริมให้นางอยากอาละวาดให้หนัก
“ฆ่ามัน นักพรตน้อยนั่น”
“อาฮวนสงบสติสักหน่อย จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร”
“มัน เป็นมันที่ทำให้หานอ๋องเชยชากับข้า ทั้งที่ได้รับอันตรายเช่นนี้เขายังนิ่งเฉย ก่อนหน้านี้ก็หายไปหลายวัน หากไม่มีนักพรตน้อย ข้าคงไม่ต้องเจ็บตัวเช่นนี้”
สวีเกาหานถอนหายใจออกมาแรงๆ และเอ่ยเสียงดังกังวาน
“ข้าไม่ใช่หมอ อีกอย่างเมื่อครู่ก็เป็นเสี่ยวฮวน ที่ตั้งใจจะเข้าไปทำร้ายนางรำประทีป” เมื่อสวีเกาหานเอ่ยจบ สถานการณ์ต่อจากนั้นเรียกได้ว่า ค่อนข้างสับสนไปหมด และเป็นเพราะคำสั่งจือฮวน ฝ่ายห่าวเจียจึงพยักหน้าให้กลุ่มคนของตนกระทำเรื่องต่ำช้าทันที ฉับพลันมีควันพิษพวยพุ่ง ผู้คนต่างทยอยล้มลง ยกเว้นแต่ฝ่ายของจือฮวน
“ฮวนเอ๋อร์ เจ้าต้องการทำสิ่งใด” จือคังถาม เขาไม่ชอบใช้วิธีสกปรก ผิดกับน้องสาวแม้อายุยังน้อย แต่นางเป็นพวกที่กล่าวได้ว่าคืออสรพิษผู้หนึ่ง นั่นเพราะเขาให้ท้ายนางเสมอมา
“ฮึ ข้าต้องจัดการทุกคนที่ขวางทาง ไม่ว่าหน้าไหนก็อย่าทำให้ข้าต้องเสียโอกาสที่จะได้เป็นพระชายารัชทายาท”
ได้ยินน้องสาวกล่าวเช่นนั้นทั้งที่นางเจ็บหนัก จือคังได้แต่โบกมือ แล้วตัดสินใจก้าวออกจากจุดนั้น
กระทั่งกลุ่มควันสลายลง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีร่างหนึ่งนอนนิ่งข้างๆ สวีเกาหาน!
“พวกจิตใจต่ำทราม ใครลักลอบเข้ามาในงานนี้ และทำให้นักพรตน้อยต้องสิ้นใจ”
เสียงของสวีเกาหานว่าเสียงดัง เขาดูเศร้าโศกอย่างหนัก ส่วนจือฮวนแข็งใจให้ห่าวเจียประคอง ด้วยนางอยากเห็นหน้านักพรตน้อยชัดๆ อีกครั้ง
เมื่อเข้าใกล้ร่างที่นอนนิ่ง นางเห็นว่าเถาวัลย์ผสานใจได้คลายตัวออกแล้ว เช่นนี้คงกล่าวได้ว่า เมื่ออีกร่างไร้ลมหายใจ เถาวัลย์ก็ไม่อาจผูกมัดคนทั้งสองไว้ด้วยกัน “ถอดหน้ากากมันออก ข้าอยากเห็นว่ามันตายจริงหรือไม่”
“เสี่ยวฮวน เจ้าจะอมหิตเกินไปแล้ว บาปกรรมที่ทำครั้งนี้ เจ้าจะชดใช้อย่างไร”
“ฮึ ที่ข้าต้องถูกไฟไหม้เล่า หานอ๋องคิดบ้างหรือไม่ ถ้าไม่มีนักพรต ท่านย่อมเป็นคนแรกที่เข้าไปช่วยข้าก่อนผู้ใด”
เมื่อนางกล่าวจบ ทหารจึงเข้าไปดูที่ร่างนักพรตน้อย และหน้ากากของอีกฝ่ายถูกถอดออก ฝ่ายห่าวเจียรู้สึกว่ามีบางสิ่งต้องสำรวจ เขาตรวจสอบร่างกายนักพรตน้อย พอรู้ว่าเป็นบุรุษก็หันมามองจือฮวน
“แค่เด็กชายผู้หนึ่ง อย่างไรข้าจัดการตามธรรมเนียมปฏิบัติ”
“ช้าก่อน ขันทีห่าว มีคนตายต่อหน้าข้า จะให้ปล่อยผ่านไปง่ายๆ ได้หรือ”
ห่าวเจียข่มกลั้นอารมณ์ ก่อนส่งสัญญาณให้คนของตนสะสางเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ
“ใต้เท้าห่าว ดูเหมือนเราจะจับมือสังหารได้ แต่ว่ามันชิงฆ่าตัวตายเสียก่อน ถึงอย่างนั้นก็ทำให้รู้ว่าเป็นพวกสุยจ้วง”
เมื่อคนของห่าวเจียต้องการโยนความผิดให้ชาวสุยจ้วง สวีเกาหานเลยหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าๆ ๆ ชาวสุยจ้วงช่างมากความสามารถ เข้ามาถึงงานเลี้ยงที่มีเวรยามแน่นหนา อีกทั้งฆ่านักพรตน้อยที่อยู่ใกล้ชิดข้าได้ในชั่วพริบตา เฮ้อ... เช่นนี้ศพต่อไปจะไม่ใช่ผู้แซ่สวีนามว่าเกาหานหรอกหรือ”
สวีเกาหานกล่าวจบ เขาก็มีอาการหัวเสีย และเตรียมตัวก้าวจากไป หากเป็นยามนั้นที่จือฮวนรู้สึกว่าบาดแผลของตนเจ็บปวดหนัก และนางวิงเวียนศีรษะ
“หานอ๋อง ท่านห่วงข้าสักนิดไม่ได้หรืออย่างไร”
“เสี่ยวฮวน หากเจ้าไม่คิดทำร้ายผู้อื่นก่อน คงไม่เจ็บตัว เอาล่ะ... กลับเข้าเรือนรับรอง แล้วเรียกหมอมาดูอาการเถิด”
สวีเกาหานกล่าวจบก็ไม่สนใจหญิงสาวอีก ฝ่ายจือฮวนยังพอมีแรงเหลือจึงส่งเสียงดังและเอ่ยว่า “นางรำทุกคนที่ถูกจับตัวไว้ ไต่สวนให้ละเอียด แล้วฆ่าพวกนางให้หมด!”
เหล่านางรำราวๆ สามสิบกว่าชีวิตถูกต้อนมายังพื้นที่หลังเรือนรับรอง ซึ่งห่างออกมาพอสมควร ยามนั้นสตรีที่รำประทีปอยู่ด้านหลังสุด มีทหารหลายคนมองนางด้วยความสนใจ ทั้งเสื้อผ้าที่สวม กิริยาอ่อนช้อย กลิ่นกายนางก็หอมหวานชวนให้เคลิบเคลิ้ม แน่นอนมันไม่ใช่กลิ่นกายปกติที่สตรีพึงมี หากเป็นนางที่ใช้ความสามารถของตนกลั่นน้ำมันหอมระเหยทั้งจากสมุนไพร และไขมันมนุษย์
“เฮ้ย... น่าเสียดายของสวยของงาม... คำสั่งคือเฉือดพวกนางทั้งหมดเลยหรือ”
คำพูดดังกล่าวทำให้นางรำเข้าใจได้ว่า ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตผู้บริสุทธิ์เหล่านี้กำลังจะสิ้นลง ทว่าคนที่เกิดใหม่ในร่างของท่านอาหญิงที่มีนามว่าจางเหยา อีกทั้งมีดวงตาที่สามมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ในภายหน้า มีหรือจะยอมให้ทหารชั่วช้าของจือฮวน ปลิดชีพนางได้ง่ายๆ อย่างเช่นชาติภพก่อน
ฝ่ายทหารที่เป็นหัวหน้าหน่วยใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า
“แบ่งเป็นสองกลุ่มก็แล้วกัน พวกหนึ่งจัดการไม่ให้จดจำสภาพเดิมได้ ส่วนคนงามๆ ข้าจะนำไปขายต่อ ได้เงินสักเล็กน้อย นับว่าไม่เสียแรงเปล่า”
เมื่อเขาแจ้งความต้องการเช่นนั้น ทหารอีกหลายคนก็เห็นด้วย
“จริง พวกเราสมควรได้เงินติดกระเป๋า อีกอย่างจะจัดการอย่างไร ใต้เท้าห่าวก็ไม่ใส่ใจอยู่แล้ว เขาคงกำลังยุ่งอยู่กับการรักษาแผลให้คุณหนูสามจือ ใบหน้านางไม่ได้รับอันตรายก็จริง แต่ที่หลังมือทั้งสองข้าง ข้าคิดว่าคงเกิดแผลเป็น ยกเว้นเสียแต่ได้เกล็ดหิมะพันปีรักษา”
“โถ เจ้าก็เห็นว่านักพรตน้อยถูกฆ่าตายเสียแล้ว และเกล็ดหิมะพันปีที่เขาขโมยมา คงไม่มีใครรู้ที่ซ่อน เช่นนี้คุณหนูสามคงไร้วาสนาเป็นพระชายาของรัชทายาท”
“เฮ้ย เจ้าอย่าพลั้งปากกล่าวสิ่งใดให้มาก เมื่อหลายวันก่อน ขันทีกับสาวใช้หลายคน ถูกฆ่าและโยนร่างทิ้งให้หมาป่ากินมาแล้ว เช่นนั้นไม่ควรหาเรื่องใส่ตัว”
เมื่อมีการเตือน ทหารที่มีหน้าที่เก็บกวาดเหล่านางรำจึงไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงจือฮวน และห่าวเจียอีก