“คุณท่านกลับกับเจ้ากันนะครับ เดี๋ยวผมขับรถอีกคันกลับ แต่ว่าจำที่ผมบอกได้ใช่ไหมครับ เผื่อผมขับรถช้ากว่า”
“จำได้แม่นน่า” ตฤณตอบยิ้มๆ
“โอเคครับ เจอกันที่บ้าน” คุยกันเสร็จก้องการุณก็ถือกระเป๋าเสื้อผ้าให้เจ้านาย แล้วพากันออกจากยิม เมื่อส่งเจ้านายขึ้นรถเรียบร้อยผู้ช่วยฯ จึงได้แยกขับรถไปอีกคัน เพราะเมื่อเช้าเขาไปทำงานก่อน
ตฤณนั่งรถกลับบ้านในเวลาหนึ่งทุ่ม บรรยากาศมืดครื้มมีเพียงแสงไฟจากริมถนนและจากไฟรถต่างๆ ที่วิ่งขวักไขว่ เป็นเวลาที่รถติดพอสมควร กว่าจะถึงปากซอยหน้าบ้านก็เกือบสองทุ่ม มาถึงจุดนี้ตฤณได้ให้คนขับรถขับช้าๆ เพื่อจะได้สังเกตว่าบ้านของปั้นหยาอยู่หลังไหน
“ขับดีๆ ล่ะ เดี๋ยวก็เหยียบน้ำโคลนกระเด็นใส่ชาวบ้านเขาอีก”
ตฤณเตือนเพราะไม่อยากให้เป็นแบบเมื่อเช้าอีก
“เลิกงานแล้วผมไม่รีบเหมือนเมื่อเช้าหรอกครับท่าน”
“นี่เหมาว่าเป็นเพราะฉันเหมือนเดิมสินะ”
“ก็เมื่อเช้าคุณท่านบอกให้ผมรีบนี่ครับ”
“เอ่อ ผิดไปแล้ว คราวนี้ขับช้าๆ จะดูว่าบ้านเลขาคนใหม่ของฉันอยู่หลังไหน”
“นี่เอาจริงเหรอครับ เธอยอมทำงานกับเราแล้วเหรอ ผมเห็นเมื่อเช้าแบบว่าดุมาก โกรธมาก”
“ไม่ทำ ฉันก็จะทำให้เธอยอมให้ได้แหละน่า ไหนดูซิบ้านเช่าหลังไหนเห็นบอกว่าอยู่กลางซอย” ตฤณบอก กันระพีจึงขับช้าๆ ทำให้ตฤณมีโอกาสได้มองซ้ายขวาอย่างถี่ถ้วน หลังจากที่ผู้ช่วยบอกคือเป็นรั้วสีขาว ความสูงประมาณ1 เมตร 50 เซนติเมตร เป็นบ้านชั้นเดียวหลังกะทัดรัด อยู่ทางขวามือเมื่อเรากลับบ้านพอดี ซึ่งทำให้ตฤณมองหาบ้านหลังนั้นอยู่ว่ามีจุดสังเกตอะไรบ้าง
“หลังไหนนะ” ตฤณเอ่ยลอยๆ
“คุณก้องบอกรายละเอียดอะไรบ้างล่ะครับ นี่เลยบ้านเรามาแล้วนะ”
“บอกแค่ว่าบ้านหลังสีขาว เลยบ้านเรานิดหน่อยประมาณกลางซอย รั้วสีขาว ขนาดกะทัดรัด ไม่ใหญ่มากใกล้ๆ กันก็เป็นบ้านที่ไม่มีคนอยู่เหมือนกัน ปล่อยให้เช่าทั้งนั้น บางหลังก็ปล่อยร้างไปเพราะถูกยึดและประกาศขายเสียดายนะเนี่ย แต่ไม่มีคนมาอยู่ หมู่บ้านเรานี่ก็แบบต่างคนต่างอยู่ ฉันเพิ่งมีโอกาสได้ตระเวนดูหมู่บ้านตัวเองมา”
“เป็นเพราะบ้านเราอยู่ช่วงต้นซอย ออกจากบ้านคือไปทำงานอย่างเดียว เราไม่มีเวลาได้ขับชมบ้านเรือนคนขนาดนี้เลยครับ”
“เอ๊ะ! เดี๋ยว หลังนี้คล้ายๆ กับที่บอกเลย ชะลอชะลอ” ตฤณบอกด้วยความตื่นเต้น พลางขยับตัวชิดประตู
“มีไฟเปิดอยู่ จุดสังเกตมีดอกไม้สีเหลืองอยู่ริมรั้ว ดอกอะไรจำไม่ได้ น่าจะใช่นะ”
“ถ้าเป็นบ้านเธอจริง น่าจะอยู่คนเดียวนะครับเนี่ย”
“น่าจะเป็นสาวเก่งคนหนึ่งเลยล่ะ แต่ว่าบ้านใกล้เรือนเคียงกันก็มีคนอยู่นี่ ไม่เหงา ไม่เปลี่ยวแต่ว่า... น่าห่วง” คำสุดท้ายตฤณเอ่ยเบาๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วกดหมายเลข
“จอดตรงนี้ก่อน” ตฤณบอกระหว่างรอสาย
กริ้ง! กริ้ง! กริ้ง! เสียงโทรศัพท์ของอีกฝั่งหนึ่งดังขึ้น ระหว่างที่เจ้าตัวกำลังนั่งกินต้มบะหมี่เพียงลำพัง โทรศัพท์วางอยู่บนโต๊ะขวามือ ทั้งส่งเสียงและสั่นจนเธอวางมือจากชามบะหมี่แล้วหันไปหยิบขึ้นมาดูเบอร์
“ใครอ่ะ” ปั้นหยาเอ่ยลอยๆ แต่ก็ต้องรับสายเพราะคนรู้จักอาจมีธุระก็เป็นได้
“สวัสดีค่ะ” เธอกดรับสายพร้อมกับทักทายน้ำเสียงสุภาพ ทว่าปลายสายกลับเงียบกริบ
“สวัสดีค่ะ ได้ยินไหมคะเนี่ย” เธอถามอีกครั้ง
“ได้ยินครับ” ตฤณตอบกลับเสียงสดใส พร้อมกับรอยยิ้มผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ส่วนปั้นหยาก็นิ่งไปชั่วครู่และครุ่นคิดว่าเสียงนี้เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
“คุณเป็นใครคะ จะพูดกับใคร” ปั้นหยาถามด้วยความไม่พอใจ
“ผมจะโทรมาบอกว่า พรุ่งนี้อย่าลืมน้ำเต้าหู้ปลาท่องโก๋ไปให้ผมนะครับ ผมชอบร้านหน้าปากซอยเป็นพิเศษ”
“อะไรนะ นี่... นี่คุณ คุณ!” ปั้นหยาตกใจมาก ได้แต่เรียกคุณๆ อยู่นั่น
“ชื่อตฤณครับ หรือไม่สะดวกก็เรียกท่านประธานก็ได้คุณเลขา เอาตามสบายเลย” น้ำเสียงของเขายียวนกวนประสาท กะทำให้เธอหงุดหงิดทั้งวันเลยสินะ
“ฉันบอกคุณแล้วว่า ฉันไม่ทำ และพรุ่งนี้ฉันจะไปสมัครที่ใหม่” เรื่องนี้ปั้นหยาไม่ได้ประชดแต่เอาจริง เพราะใครจะอยากทำงานกับคนที่ทำให้เธอไม่ประทับใจตั้งแต่แรกด้วยล่ะ อีกอย่างจะบอกว่าเธอจองหองก็ได้ มีทิฐิอยู่ในใจนี่แหละ
“ผมไม่ได้มาขอคำตอบแบบนี้ เพราะผมเองก็บอกแล้วว่า ผมรับคุณ ผมมีโครงการใหม่อยากได้คนเขียนแบบพอดี”
“ฉันทำไม่ได้ และไม่ทำกับคุณ”
“งั้นเงินเดือนหนึ่งแสน เอาไหม” เขาบอก ขณะที่เธอพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ
“หนึ่งล้านก็ไม่ทำ ไม่ใช่ว่าไม่อยากได้เงินนะคะ แต่ไม่ชอบคุณ”
“เคยได้ยินไหม ไม่ชอบอะไรก็จะได้แบบนั้นแหละ”
“แล้วคุณโทรมาทำไมคะ ได้เบอร์ฉันมายังไง”
“จะยากอะไรครับ ว่าแต่อยู่บ้านคนเดียวเหรอเรา” ถามไปพลางก็มองเข้าไปในบ้านไปพลาง แต่นั่นล่ะทำให้เธอรู้สึกแปลกใจ เขารู้ได้ยังไง หรือว่า...
“อยู่กับแฟนค่ะ”
“หึๆ” เขาหัวเราะชอบใจเชียว
“ถึงว่า ผมเห็นใครเดินอยู่ในบ้านด้วย ที่แท้ก็แฟนนี่เอง” สิ้นคำของเขาเท่านั้นแหละ เธอนิ่งกลอกตาไปมาแล้วมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดระแวง
“นี่... คุณแอบมาด้อมๆ มองๆ บ้านฉันเหรอ”
“ผมก็ต้องรู้จักบ้านลูกน้องผมสิ” พอเขาพูดจบเธอก็ลุกพรวดเดินไปดูที่หน้าบ้านทันที เห็นรถคันเมื่อเช้าเธอจำได้แม่น เขาเปิดกระจกรถแล้วโบกมือให้เธอด้วย คนบ้า
“ฝากทักทายแฟนคุณด้วยละกันครับ ผมวางสายดีกว่า เดี๋ยวหึง”
“นี่คุณ...” เธอไม่อยากจะบอกว่าอยู่คนเดียว ที่บอกไปแบบนั้นเพราะเขาจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับเธอ ที่ไหนได้เขาแกล้งอำหรือว่าของจริงเนี่ย
“เอ่อ เบอร์นี้ของผมนะครับ เมมเอาไว้เลย”
“ดะ... ดะ... เดี๋ยว คุณ”
“อะไรครับ” ตฤณรับคำและยิ้มเจ้าเล่ห์ดังเดิม
“คือ ไม่มีอะไรค่ะ”
“งั้นก็แค่นี้นะครับ เอ่อ ล็อคประตูให้เรียบร้อยนะครับ แถวนี้ผู้คนไม่ค่อยพุกพล่านเหมือนต้นซอย มีแต่บ้านประกาศขาย อย่าออกมากลางค่ำกลางคืน มันน่ากลัว” อันนี้เขาเตือนด้วยความหวังดีไม่ได้แกล้ง เพราะเมื่อบ้านแต่ละหลังอยู่ลึกมากมายก็จะไม่ค่อยมีคนอยู่ ปล่อยร้าง ปล่อยขาย หรือปล่อยเช่าเป็นเรื่องธรรมดา
“เรื่องนั้นรู้แล้วน่า”
“ก็เป็นห่วง แต่เห็นคุณมีเพื่อนก็หายห่วงครับ” นี่เขายังไม่เลิกอำเธออีกหรือเนี่ย เธอคิด ก่อนจะค่อยๆ เอียงคอมองไปรอบๆ ตัว
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วแค่นี้นะคะ” เธอตอบแบบอึกอัก หวาดหวั่นและประหม่าขึ้นมาทันที
“ครับ แล้วเจอกันนะ” สิ้นคำเขาก็วางสายโดยไม่รอให้เธอตอบรับแต่อย่างใด จากนั้นจึงได้ปิดประจกแล้วสั่งให้คนขับรถเลี้ยวรถกลับ ทว่าเขาอดที่จะมองเข้าไปในบ้านไม่ได้ ห่วงตรงที่บ้านแถวนี้ไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่ เห็นเป็นหมู่บ้านคนรวย มีความเจริญ แต่ก็ยังมีพวกจิ๊กโก๋แอบมาใช้บ้านที่ไม่มีคนอยู่ลักลอบเสพยา เขาห่วงตรงนี้แหละ
“คนบ้า ทำไมต้องมาอำกัน” ปั้นหยาเอ่ยลอยๆ แต่ระแวงหลัง แม้ปากจะบอกว่าเขาอำเล่น แต่น้ำเสียงเขาจริงจัง ไหนจะรอบๆ ไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่จริงๆ ด้วย ก็แหงล่ะมันอยู่ลึกตั้งกลางซอยนี่ ส่วนบ้านที่เธอเช่าอยู่ก็เป็นคนไทยไปอาศัยต่างประเทศแล้ว มีแต่ญาติที่แวะมาคอยดูแลบ้านหลังนี้
“ตาคนบ้าเอ๊ย มาทิ้งระเบิดแล้วก็ไป” เธอว่า ก่อนจะเก็บชามบะหมี่ ล้างให้เรียบร้อยแล้วออกมาตรวจตราประตูหน้าต่างว่าล็อคดีแล้ว จากนั้นก็ปิดไฟแล้ววิ่งเข้าห้องทันที จากที่เป็นคนไม่กลัวอะไร กลับต้องมาระแวงคำที่เขาบอกว่าเห็นผู้ชาย ให้ตายสิ
“อำเล่นล่ะมั้ง” เธอบอกกับตัวเองไม่ให้กลัวเพราะอยู่มาหลายวัน ถ้าจะมีอะไรมันก็ต้องมีตั้งแต่วันแรกสิน่า เธอคิด ก่อนจะปิดไฟนอน เหลือไฟตรงหัวเตียงเอาไว้เท่านั้น