ตอนที่ 11
“เกิดอะไรขึ้นกับแกล่ะหรือฉันพอจะรู้เรื่องที่แกอาละวาดฟาดงวง เอ้ย ฟาดงา ไอ้วาดมันโทร.มาบอก แล้วแกจัดการกับเรื่องนี้ยังไง ”
“ที่พูด นั่น น่ะช้างนะยะ ฉันไม่ใช่ช้างสักหน่อย พูดซะเสียเลย” เจ้าของดวงหน้าหวานบ่นแกมน้อยใจเอากับเพื่อนรักอีกคน
“จ้ะ งั้นฉันขอโทษแทนด้วยนะ ปากฉันไปรับฟังไอ้วาดมันมาอีกที มันก็สนิทกับแกมากทีเดียวไม่ใช่หรือ ”
พีรียาพยักหน้าลดสีหน้าบึ้งตึงแบบทุเลาหายเคืองเพื่อนบ้างแล้ว ดวงหน้าหวานของพีรียากำลังนิ่งคิดแบบคนครุ่นเคร่ง เจ้าของห้องที่ขยับมานั่งใกล้เงยหน้าพิจารณาดูเพื่อน มีความรู้สึกว่าพีรียาไม่สบายใจเท่าที่ควร
“แกกำลังคิดอะไรอยู่หรือเพี๊ยช”
“หลายเรื่อง ”พีรียาตอบ ไม่ได้เอ่ยแน่ชัด
“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ แกพอจะบอกฉันได้บ้างไหมล่ะอมพะนำไว้เก็บไปคิดคนเดียวเวียนหัวปวดหัวเป็นประสาทคนเดียวนะยายเพี๊ยช ”
มิ่งกานดามองเพื่อนแล้วรู้สึกขัดใจยิ่งนัก
“เพราะฉันไม่อยากให้ใครรู้มากตอนนี้พ่อกับแม่ของฉัน ท่านโกรธฉันใหญ่เลยมิ่ง ฉันก็รู้นะ มันเป็นแบบนี้ ถ้าเกิดความรู้สึกแบบนี้กับใคร ลองมาเป็นเธอซิ เธอจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ครอบครัวของฉันไม่ได้ถึงกับจนตรอกจนต้องเอาตัวเองเสนอขายสักหน่อย ”
มิ่งกานดานิ่งฟังเพื่อน มันเป็นเหตุผลที่น่าฟัง และมิ่งกานดาพอจะทราบเรื่องคร่าวๆจากวาดวลีแล้ว
มิ่งกานดาก็เลยทำสีหน้าแบบเซ็งๆที่พีรียาไม่ตัดสินใจบอกทันที แต่นึกไปแล้วก็น่าเห็นใจเพื่อนสาวไม่น้อย มิ่งกานดาตัดบทเอ่ยขึ้นว่า
“เอาล่ะ ฉันไม่อยากรู้เรื่องอะไรของเธอหรอก เอาเป็นว่า มาพักผ่อนที่นี่ ถ้าชอบ หรือสบายใจยังไง แกก็อยู่หลายวันก็ได้ มีแต่ไอ้วาดคนเดียวที่ฉันไม่ให้อยู่ค้าง ”
มิ่งกานดาไพล่ไปถึงเพื่อนสาวมาดทอม
“ วาดเป็นอะไรหรือ” พีรียาเอ่ยถาม
“ถามได้ แฟนมันขี้หึงจะตาย เคยมีเรื่องทะเลาะกับแฟนจะมาขอนอนบ้านฉัน ฉันก็ไม่ให้หรอก ใครจะไปกล้าให้ บอกตรงๆนะ ฉันกลัวมันเหมือนกัน ”
มิ่งกานดาเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้ว ให้ พีรียาฟังคร่าวๆ หญิงสาวจึงพยักหน้าเข้าใจ แล้วมิ่งกานดาไม่อยากจะทราบเรื่องของหล่อนบ้างหรือ
อ้าวก็หล่อนไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้นี่นาลืมเรื่องนี้ไป
และพีรียาขอพักอยู่บ้านเพื่อนสนิทถึงสองวันเธอจึงคิดได้ ก้าวขึ้นบ้านอย่างเงียบ สักครู่ใหญ่จึงลงมาอีกครั้ง รถยนต์แล่นเข้ามาในบ้าน เวลาค่ำสนิท แสงไฟหน้าบ้านสาดสว่าง นายคมสันต์ก้าวลงจากรถพอมาถึงก็เห็นร่างของพีรียาหญิงสาวโผเข้าไปกอดบิดาแล้วเอ่ยกล่าวคำขอโทษ
“เพี๊ยช ขอโทษป๊าค่ะ ที่ทำตัวไม่น่ารักเลย หวังว่าป๊าจะยกโทษให้หนู”
นายคมสันต์ฟังลูกสาวแล้วเข้าสวมกอดพร้อมกับตบเบาๆที่บ่า
“ไม่เป็นไรเรื่องมันผ่านไปแล้ว พ่อก็ลืมแล้ว ”
นายคมสันต์ให้อภัยบุตรสาวง่ายดายนัก พีรียาเลยถอนหายใจแบบโล่งๆ หลังจากที่หล่อนสบายเนื้อสบายตัวรวมทั้งสบายใจ หลังจากที่ไปพักค้างบ้านเพื่อนสนิทมา
นี่หนอ ก็เกือบจวนเที่ยงคืนกว่าแล้ว พยายามถามใจตนเองจากส่วนลึกข้างในอีกครั้ง ทำไมมันถึงรู้สึกแปลกๆยิ่งนัก สำหรับปัณรุจน์อาการครุ่นคิดเฝ้าคำนึง เหม่อลอย หัวใจแวบไปถึงหญิงสาวที่ยื่นข้อเสนอที่เขาคิดว่าถ้าเป็นผู้ชายทุกคนได้ยินจะต้องรีบตะครุบแล้วรีบตกลงอย่างแน่นอน สาวสวยอย่างหล่อน คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
ยังย้ำอยู่กับคำเดิมว่าหล่อนกับเขาแตกต่างกันยิ่งนัก ซึ่งความหมายนี้ก็บอกชัดแก่เขาได้เป็นอย่างดี อีกข่าวหนึ่งยายพัดหรือปวีณาน้องสาวของเขาสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัมหาวิทยาลัยมหิดลที่วิทยาเขตนครปฐมได้แล้ว
“พี่บอร์น พัดสอบเอนท์ติดได้คณะศิลปศาสตร์เอกวิทยาการจัดการ ”
และที่สถานีขนส่งของจังหวัดสุรินทร์ นั้น ปัญญาพร กาจ และลูกสาว ปวีณา ยืนอยู่หน้าช่องขายตั๋วนางปัญญาพรเคยเดินทางเข้ากรุงเทพตั้งแต่สมัยยังสาวๆ เรียนเย็บปักถักร้อยตัดผมเสริมสวยจนกระทั่งเรียนจบอยู่กรุงเทพได้สามปี จากนั้นก็เดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม แต่งงานกับคนรัก จนมีโซ่ทองคล้องใจกัน
และส่วนที่บ้าน ในต่างจังหวัดก็เปิดเป็นร้านเสริมสวย เมื่อตัวเองเดินทางเข้าไปทำธุระสำคัญเรื่องการเรียนกับลูกและสามีก็ได้ฝากร้านเอาไว้กับญาติพี่น้อง ที่อยู่ฝึกงานจนเคยชินและเรียนรู้งานเท่ากับเจ้าของคือปัญญาพร ยังมีเด็กช่วยในร้านอีกสองคน
“พี่บอร์นบอกว่าจะรอรับที่ขนส่งหมอชิตค่ะแม่”
พัดหรือปวีณาเอ่ยบอกมารดาอย่างนั้นสีหน้าสบายใจเป็นอย่างมาก เมื่อเอ่ยถึงพี่ชาย และได้พบเจอหน้าหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานเกือบสองปี
“แล้วร้านของเราทางนี้ล่ะ แม่จะว่ายังไง”
ปวีณาถามมารดานางยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับลูกสาว เพราะเดินเข้าไปพูดคุยกันตามลำพังกับญาติพี่น้อง เรื่องฝากฝังให้ช่วยดูแลร้าน
“แม่ฝากกับป้าเอื้อยแล้ว”
ปัญญาพรเอ่ยตอบลูก กาจเป็นคนที่ไม่พูดมาก เขาเป็นคนหน้าตาดี และมีอายุอ่อนกว่า ปัญญาพรหนึ่งปี ถือว่าไม่มาก และปัญญาพรก็เรียกสามีว่า พี่ทุกคำถือเป็นการให้เกียรติสามี นี่เองสมกับเป็นครอบครัวที่ผูกพันรักใคร่ เพราะการเดินทางขึ้นกรุงเทพในครั้งนี้ทั้งคุณปัญญาพรและกาจผู้เป็นสามีต้องการไปเยี่ยมเยียนลูกชาย ที่ไม่ได้พบหน้าค่าตามานานเป็นปีเช่นกัน
เพราะก็ได้ยินแต่เสียงคุยทางโทรศัพท์ อีกอย่างในช่วงขณะนี้จะว่าไปนั้น คุณปัญญาพรยังมีอาการไข้ขึ้นเล็กน้อย เท่าที่คะเนเอาไว้คิดว่าตัวเองยังไหว ถ้าหากไม่ไหว อาการหนักจริงๆคุณปัญญาพรคงไม่ได้ร่วมทางด้วย คงจะอยู่เฝ้าบ้านและทำงานตามปกติ
แต่ที่ทำคราวนี้ เพื่อลูกชายสุดที่รักจริงๆ เมื่อถึงเวลาที่รถใกล้จะออกเดินทางนั้น ปวีณาหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์โทร.เข้าเบอร์เครื่องส่วนตัวของพี่ชายอีกครั้ง เพื่อให้รู้ว่า ขณะนี้รถกำลังออกเดินทางแล้ว น่าจะไปถึงกรุงเทพราวๆตีสี่ครึ่ง
“ตอนนี้รถกำลังจะออกจากท่าแล้วนะคะพี่บอร์น มีพ่อมีแม่ แล้วก็พัด นั่งติดกัน เออ แล้วพี่บอร์นอยากได้ของฝากอะไรบ้างหรือเปล่าคะ”