ศีรษะของปรมะปวดหนึบ หลังจากที่เขาพยายามควบคุมความคิดของตัวเอง หลายครั้งสมองวิ่งวนกลับไปคิดเรื่องของนรีกุล และก็ทุกครั้งที่เขาต้องรีบดึงตัวเองกลับมา พร้อมกับบอกตัวเองว่ามันดีแล้ว...
ทุกอย่างมันควรจะเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้ว...
สันกรามของปรมะขบกันแน่น ดวงตาคมเข้มตอนนี้มืดลึก ขณะบังคับรถยนต์หรูของตัวเองให้เลี้ยวเข้ามาจอดภายในคฤหาสน์ของตนเอง
เขานั่งนิ่งอยู่ในรถสักพักก็ก้าวลงไป คฤหาสน์หรูสะท้อนเข้ามาในดวงตาเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา แต่วันนี้กลับรู้สึกว่าที่นี่ดูเงียบเหงาผิดปกติ
ปรมะก้าวเข้าไปภายในบ้าน เจอส้มแป้นที่ยกแก้วน้ำเย็นออกมาให้
ดวงตาของสาวใช้แดงช้ำจนเขาสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
“ตาเป็นอะไรไปส้มแป้น”
“หนูร้องไห้ค่ะ คิดถึงคุณกุล”
แก้วน้ำเย็นในมือที่กำลังยกขึ้นจ่อริมฝีปากชะงักกึกทันที ก่อนที่เขาจะยื่นคืนสาวใช้
“อย่าพูดชื่อนี้ในบ้านของฉันอีก ไม่อย่างนั้นเห็นดีกันแน่”
ส้มแป้นรับแก้วน้ำเย็นคืนมา ก่อนจะก้มหน้าตอบรับออกไปอย่างไม่มีทางเลือก
“ค่ะ คุณหนึ่ง”
“ไปให้พ้นหน้าไป”
สาวใช้เดินหายไปทันทีเมื่อเขาเอ่ยปากไล่
ปรมะถอนใจออกมาแรงๆ และก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าด้วยอากาศเหม่อลอย มารู้สึกตัวอีกทีก็เดินมาหยุดที่หน้าห้องพักที่นรีกุลเคยพักอยู่เสียแล้ว
เขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูนั้นราวกับถูกสาป มือใหญ่ยื่นไปข้างหน้า กำลูกบิดประตูเอาไว้ ก่อนจะดันเปิดเข้าไป
ภายในห้องมืดสนิท เขากดเปิดสวิตซ์ไฟ ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่ว่างเปล่า
ใช่...
ห้องนี้ว่างเปล่าแล้ว...
ไม่มีใครอยู่อีกต่อไปแล้ว...
ขณะที่ปรมะไล่สายตามองไปทั่ว กระดาษสีขาวที่วางอยู่บนตู้ข้างเตียงก็สะท้อนเข้ามาในดวงตา เขาเดินเข้าไปหยุดใกล้ๆ และหยิบขึ้นมาดู
ลำคอของเขาตีบตันขึ้นมาจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เมื่อเห็นชัดเจนว่ากระดาษในมือคือเอกสารการหย่าที่นรีกุลเซ็นทิ้งเอาไว้ให้ก่อนจากไป
ดีใจสิวะไอ้หนึ่ง...
ชายหนุ่มฝืนยิ้มออกมา แต่กระนั้นในอกก็รู้สึกหน่วงหนึบจนรู้สึกได้
เขาก้าวออกมาจากห้องว่างเปล่านั้น พร้อมกับกระดาษแผ่นนั้น มุ่งหน้าขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเอง ระหว่างทางเจอสาวใช้ก็สั่งให้เอาเหล้ามาให้ที่ห้องนอน
“ไปซะได้ก็ดี”
เมื่อเข้ามาอยู่ภายในห้องนอนแล้ว ชายหนุ่มก็เก็บกระดาษใบนั้นเอาไว้ในลิ้นชักตู้ข้างเตียง ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวบนโซฟาตัวยาว
“แล้วอย่ากลับมาให้เห็นหน้าอีกก็แล้วกัน”
เขาดีใจ...
ดีใจมากกับสถานการณ์ในตอนนี้
นรีกุลใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง กว่าจะเดินทางมาถึงจังหวัดระยอง หลังจากลงจากรถทัวร์แล้ว หล่อนก็สอบถามกับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างเพื่อหาห้องเช่า
“ลุงรู้จัก ขึ้นมาสิเดี๋ยวลุงไปส่ง”
“ขอบคุณมากจ้ะลุง”
นรีกุลขอบคุณด้วยความดีใจ เพราะคิดว่าทุกคนรอบตัวเป็นคนดี
พอหล่อนขึ้นนั่งบนรถมอเตอร์ไซค์ คนขับก็พาหล่อนขับลัดเลาะไปตามทางคอนกรีตแคบๆ คดเคี้ยวไปมา เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาหลายครั้งจนหล่อนเริ่มสับสน เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ก็ยังไม่ถึงที่หมายสักที
“ลุง... ยังไม่ถึงห้องเช่าอีกหรือจ๊ะ”
“ใกล้ถึงแล้ว เดี๋ยวเลี้ยวซอยข้างหน้าก็ถึง นั่งดีๆ ล่ะ ซอยมันแคบ”
หล่อนอดแปลกใจไม่ได้ เพราะจากที่มองซอยที่ลุงพาขับรถผ่านมันก็ซ้ำไปซ้ำมา ราวกับว่าลุงแกขับรถวนอย่างนั้นแหละ
“ถึงแล้ว นั่นไง ห้องเช่าสีขาวน่ะ เห็นไหม”
หล่อนเป่าปากอย่างโล่งอกเมื่อรถมอเตอร์ไซค์วินจอดเสียที
“เห็นจ้ะลุง”
หล่อนก้าวลงจากรถมอเตอร์ไซค์ และก็ถามถึงค่าโดยสาร แต่แอบคิดไว้ในใจว่าไม่น่าจะเกินหนึ่งร้อยบาท หรือถ้าแพงมากหน่อยก็คงสองร้อยบาท
“ค่าโดยสารเท่าไหร่จ๊ะลุง”
“หนึ่งพันจ้ะหนู”
“หนึ่งพัน...? เหรอคะ” นรีกุลถึงกับเบิกตากว้างตกใจ
“ใช่จ้ะ นี่ลุงขับรถตั้งนานนะ น้ำมันมันแพงหนูก็รู้นี่นา”
แล้วลุงตรงหน้าก็ยื่นมือออกมา รอค่าโดยสารจากหล่อน
นรีกุลพูดไม่ออก ทำได้แค่เพียงหยิบเงินส่งให้กับผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่มีทางเลือก
“ขอบใจนะหนู ถ้าจะไปไหนเรียกลุงได้เลยนะ ลุงยินดีให้บริการ”
หล่อนทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ เท่านั้น ก่อนที่ลุงจะขับรถออกไป
นรีกุลรู้สึกแย่ไม่น้อยที่ถูกเอาเปรียบตั้งแต่ครั้งแรกที่เดินทางมาถึงที่นี่ แต่กระนั้นหญิงสาวก็พยายามที่จะยิ้มสู้กับชีวิตตรงหน้า
ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าเป็นประสบการณ์ก็แล้วกัน...
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกและแรงเพื่อเรียกความมั่นใจให้กับตัวเอง มือหนึ่งลากกระเป๋าเดินทาง ส่วนอีกมือก็ลูบที่หน้าท้องน้อยเบาๆ
“ลูกจ๋า... แม่จะสู้ให้ถึงที่สุดเพื่อหนูนะลูก...”
ลูกคือแรงใจทั้งหมดของหล่อน...
นรีกุลตัดสินใจเดินเข้าไปภายในห้องเช่าสีฟ้าที่มีลักษณะเหมือนห้องแถวที่เห็นได้ทั่วไปในประเทศไทย
หล่อนยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ด้านหน้าสักพักก็มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเปิดประตูออกมาจากห้องเช่า และพอเห็นหล่อนมองอย่างแปลกใจ
“มาทำอะไรน่ะหนู”
“เอ่อ... คุณป้าคะ หนูอยากมาติดต่อห้องเช่าน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าหนูติดต่อใครได้บ้างคะ”
หล่อนเห็นผู้หญิงวัยกลางคนตรงหน้าหันไปมองรอบๆ ตัว ก่อนจะตอบออกมา
“ติดต่อป้าได้เลย หนูจะมาพักใช่ไหม”
“ใช่จ้ะป้า”
หล่อนยิ้มอย่างดีใจ ที่กำลังจะได้ห้องเช่า