“เราสองป้าหลานกำลังจะย้ายออกไปจากบ้านของคุณหนึ่งแล้วล่ะค่ะ... ในเมื่อนังกุลมันแท้งไปแล้ว พวกเราก็ไม่มีหน้าที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปอีก...” แล้วแวววรรณก็ยกมือขึ้นไหวปรมะ
“พวกเราขอโทษกับสิ่งที่เคยทำไม่ดีเอาไว้กับคุณหนึ่งด้วยนะคะ เราสองป้าหลานสำนึกผิดแล้ว...”
ปรมะเกลียดน้ำตาของผู้หญิงมาก เขาหันหลังให้อย่างเบื่อหน่าย แต่กระนั้นพอรู้ว่านรีกุลจะย้ายออกไปจริงๆ ก็อดรู้สึกโหวงเหวงในอกไม่ได้
ก็ช่างหล่อนสิ จะไปไหนก็ไป ดีเสียอีก เขาจะได้สบายลูกตา
“หมดเรื่องพูดหรือยัง”
แวววรรณลอบทำหน้าเบ้ใส่ปรมะ เมื่อชายหนุ่มดูท่าทางจะไม่หลงกลน้ำตาของตัวเอง
“คือ... อย่าหาว่าฉันอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะคะ พวกเราไม่ได้ทำงานกันมานาน แล้วตอนนี้ก็กำลังจะย้ายออกกะทันหัน บ้านก็ไม่มีอยู่ ไม่มีอะไรเลย โดยเฉพาะเงิน...”
ปรมะแค่นยิ้ม ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับแวววรรณ มองหญิงวัยกลางคนด้วยสายตาขยะแขยงระคนรู้ทัน
“อยากได้เงินสินะ”
แวววรรณยิ้มกริ่ม ตอนนี้แค่ได้เงิน หล่อนยอมทำทุกอย่างเลยล่ะ ต่อให้ต้องกราบปรมะก็ตาม
“ใช่ค่ะ นังกุลมันเพิ่งแท้งลูกมา ยังทำงานอะไรไม่ได้ในเร็วๆ นี้แน่ ส่วนฉันก็แก่แล้ว คงหางานยาก ถ้าคุณหนึ่งพอจะมีน้ำใจ...”
แวววรรณยกมือขึ้นและขยับนิ้วไปมา ส่งสัญญาณให้กับคู่สนทนารู้ว่าตัวเองต้องการเงินมาก
ปรมะยิ้มหยัน “อยากได้เท่าไหร่ล่ะ”
“เอ่อ... แล้วแต่คุณหนึ่งจะเมตตาเลยค่ะ แต่อย่าลืมนะคะว่านังกุลมันเสียตัวให้คุณหนึ่งมาตั้งหลายครั้งแล้ว แถมยังต้องเจ็บตัวเพราะแท้งลูกอีก เงินที่ได้ก็คงต้องสมน้ำสมเนื้อสักหน่อย... อ้อ... แล้วนังกุลมันก็ซิงด้วยตอนที่คุณหนึ่งได้มันน่ะ”
“พล่ามจบหรือยัง!” ปรมะเค้นเสียงรังเกียจ
“จบแล้วค่ะ”
แวววรรณฉีกยิ้มและยืนรอเงินจากปรมะอย่างใจจดใจจ่อ
ชายหนุ่มเดินไปที่โซฟา หยิบสมุดเช็คขึ้นมาแล้วเขียนจำนวนเงินลงไป จากนั้นก็ส่งให้กับแวววรรณ
“โอ้โห หนึ่งล้านเลยเหรอคะ!” แวววรรณอุทานอย่างตกใจระคนดีใจ
“หากใช้อย่างประหยัด เงินนี้ก็จะช่วยทำให้พวกเธอไม่ลำบากไปหลายปี”
ที่ปรมะมอบเงินให้จำนวนมากขนาดนี้ ก็เพราะว่าเขาไม่ต้องการให้นรีกุลต้องพบกับความทุกข์ยากหลังจากนี้
แม้ปากของเขาจะบอกว่าเกลียดหล่อน แต่ในใจก็ยังคงอดสงสารไม่ได้ แล้วยังมีความรู้สึกที่อยู่ลึกลงในก้นบึ้งของหัวใจอีก
มันคือความรู้สึกที่เขาไม่เคยยอมรับมัน...
“ขอบคุณมากเลยค่ะ นังกุลมันจะต้องดีใจแน่ๆ ที่ได้เงินล้านจากคุณหนึ่ง”
ปรมะไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาเดินออกไปจากบ้านทันที
แวววรรณยืนรอจนปรมะหายไปจากสายตา ก็ยกเช็คขึ้นมาจูบอย่างดีใจ
“หนึ่งล้านบาท... เล่นได้เป็นเดือนเลยมั้งเนี่ย อิอิ”
หลังจากเก็บข้าวของที่มีจำนวนน้อยชิ้นของตัวเองใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว นรีกุลก็ไปลาทุกคนในบ้าน ไม่เว้นแม้แต่ปรมินทร์และวาสินีที่ยังไม่ได้เดินทางไปทำงาน
ทั้งปรมินทร์และวาสินีต่างแสดงความเสียใจออกมา และขอร้องให้หล่อนอยู่ต่อจนกว่าจะหาบ้านหรือว่าหางานได้ แต่นรีกุลก็ยังยืนยันคำเดิมว่าต้องการออกไปวันนี้
ความจริงหล่อนอยากจะเจอหน้าปรมะเพื่อกล่าวลาจากเขาสักครั้ง แต่เขาออกไปมหาวิทยาลัยแล้ว ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ต้องการเจอหล่อนอีกแล้ว
หญิงสาวฝากเอกสารเกี่ยวกับการหย่าร้างของตัวเองกับปรมะเอาไว้กับปรมินทร์ หลังจากนั้นก็กลับไปร้องไห้ที่ห้องพักของตัวเอง ดื่มด่ำกับความรู้สึกเจ็บปวดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจากลากันไปตลอดกาล
“แล้วแกจะไปอยู่ที่ไหนนังกุล” แวววรรณเปิดประตูเข้ามาหาหลานสาว
“กุลยังไม่รู้เลยจ้ะป้าแวว”
“งั้นก็ไปกับข้าก่อน ไปหาห้องเช่าเล็กๆ อยู่ด้วยกันก่อน”
แวววรรณอดเป็นห่วงหลานสาวไม่ได้ แต่กระนั้นก็ไม่ยอมบอกเรื่องเช็คหนึ่งล้าน เพราะต้องการเก็บไว้คนเดียว
“กุล... อยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักพักน่ะจ้ะป้าแวว”
หล่อนอยู่กับแวววรรณไม่ได้ เพราะถ้าอยู่ด้วยกัน แวววรรณจะต้องจับได้แน่ ว่าหล่อนไม่ได้แท้ง แต่ยังมีลูกอยู่
“แล้วเงินน่ะมีบ้างไหม”
“กุลพอมีอยู่หลายพันอยู่จ้ะป้าแวว”
แม้จะรักหลานสาวไม่น้อย แต่ก็ห่วงการเล่นพนันมากกว่า
“งั้นก็ตามใจแกเถอะ แต่ยังไงก็ติดต่อมาบ้างนะ ข้าจะพยายามไม่เปลี่ยนเบอร์ก็แล้วกันนะ”
ปกติแวววรรณเปลี่ยนเบอร์โทรบ่อย เพราะหนีเจ้าหนี้ที่ตัวเองไปกู้เงินมา
“สักวัน... เราคงได้เจอกันจ้ะป้าแวว”
นรีกุลสวมกอดแวววรรณ ร้องไห้ออกมา แต่ก็ต้องเข้มแข็งเอาไว้ แวววรรณเองก็น้ำตาคลอไม่ต่างกัน
“โชคดีนะนังกุล... ขอให้ต่อจากนี้ไปชีวิตของแกเจอแต่คนดีๆ”
“ขอบคุณมากจ้ะป้าแวว...”
หญิงสาวสะอื้นไห้ไม่หยุด ร้องไห้จนตัวสั่นเทาในอ้อมแขนของแวววรรณ
แวววรรณป้ายน้ำตาของตัวเองทิ้ง ก่อนจะดันร่างของหลานสาวให้ขยับออกห่าง
“แกก็ห้ามเปลี่ยนเบอร์นะ เอาไว้ข้าจะโทรหาเรื่อยๆ”
“จ้ะป้าแวว...”
การจากลาแม้มันจะเป็นการจากเป็น แต่ก็เจ็บปวดไม่น้อยเลยทีเดียว
ต่อจากนี้ไป หล่อนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่... และเตรียมพร้อมกับบทบาทใหม่ นั่นก็คือบทบาทของการเป็นแม่...
แม่เลี้ยงเดี่ยว...
หล่อนจะทำให้ได้ และจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำได้