SPACE BAR 10
“ขอนอนด้วยนะครับ” เมื่อเถียงไม่ชนะเลยจ้องต้องยอมให้อีกฝ่ายค้างด้วย เราทั้งสองช่วยกันเลือกซื้อวัตถุดิบที่จะทำอาหารในมื้อเย็นช่วยกันแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรกินด้วยกัน
“แล้วตอนเย็นอยากกินอะไร?” ฉันถามคนที่เข็นรถเข็นอยู่ข้าง ๆ ระหว่างนี้ก็ลอบมองหาสิ่งที่อยากซื้อไปใส่ไว้ในตู้เย็นไปพลาง
“อยากกินกะเพราหมูสับเหมือนวันนั้น ที่เธอทำให้กิน” เดินเลือกของกันอยู่นานเกรฟถึงได้เอ่ยบอกสิ่งที่ตัวเองอยากจะกิน แต่ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไรเพราะเมนูที่ฉันตั้งใจจะทำตอนเย็นคือกะเพราหมูสับเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ตั้งใจจะทำต้มยำด้วย
“มิ้ง”
“หือ?” หันกลับมามองคนข้าง ๆ เมื่อถูกเรียกด้วยชื่อและอีกฝ่ายเงียบไปไม่ได้พูดต่อจนจบประโยค
“เกรฟมีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ เรารีบซื้อของกันดีไหม จะได้รีบกลับ”
“ได้ค่ะ” ฉันไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดมากหรือกังวลเรื่องอะไรแต่ก็ทำได้เพียงแค่เลือกซื้อสินค้าที่ต้องการใส่รถเข็นแล้วรีบไปจ่ายเงินและกลับคอนโด เกรฟเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาเลยก็ว่าได้ตั้งแต่ที่เราออกจากห้างสรรพสินค้า
“เกรฟ มีอะไรหรือเปล่าทำไมทำหน้าเครียดตั้งแต่อยู่ที่ห้างแล้วนะ” กระทั่งเริ่มลงมือทำมื้อเย็นเกรฟก็ยังคงทำหน้ากังวล จนฉันอดเป็นห่วงที่จะไม่ถามไม่ไหวจริง ๆ
“เราไม่รู้ว่าคิดมากไปไหน แต่เหมือนมีคนตามเราตั้งแต่ออกจากบ้าน ตอนเดินซื้อของก็เหมือนยังตามอยู่ เพราะไม่รู้ว่าคิดมากไปเองไหมเลยอยากให้รีบกลับ”
“ตามเหรอ?” ทวนถาม มือยื่นไปปิดเตาไฟฟ้าเพื่อที่จะได้หันกลับมามองเกรฟ
“อื้อ ตาม แต่ไม่รู้ว่าตามใครกันแน่”
“อย่างนั้นเหรอ...” ฉันเองก็รู้สึกแปลก ๆ แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีคนตามจริง ๆ
“ช่วงนี้อย่าเพิ่งไปไหนคนเดียวนะมิ้ง เราเป็นห่วง”
“อื้อ เราจะไม่ไปไหนคนเดียว จะอาบน้ำก่อนไหมหรือกินข้าวก่อน” เพราะไม่อยากให้สถานการณ์ตึงเครียดไปมากกว่านี้จึงเปลี่ยนเรื่องที่คุยกัน ประจวบเหมาะกับอาหารมื้อเย็นที่ทำเสร็จพอดี เกรฟอาสาช่วยจัดโต๊ะแต่เพราะวันนี้ฉันอยากดูทีวีด้วยจึงย้ายกันไปนั่งกินข้าวที่โซฟารับแขกกับข้าวถูกจัดวางบนโต๊ะกระจกใสหน้าทีวี เราทั้งสองนั่งที่พื้นข้างกันและดูวิดีโอจากแพล็ตฟอร์มชื่อดัง
“ทำไมมีคนแต่คนบอกว่าเธอน่ารักเนี่ย” กระทั่งเราเข้าไปดูคลิปจากสตูดิโอของพี่กราฟ ที่บางคลิปมีฉันติดไปด้วยประปรายและคอมเมนต์เอ่ยชมก็มีบ้างบางคอมเมนต์ก็ไม่ได้น่ารักเท่าไหร่ ซึ่งฉันตัดปัญหาโดยการไม่เข้าไปดูหรือไปอ่านแบบนี้ก็รู้สึกแย่น้อยลงแล้วล่ะ
“ศุกร์หน้าคอนเทนต์วงเหล้า พี่กราฟบอก” นั่งกินข้าวไปสักพักเกรฟก็เอ่ยเตือนฉันโดยที่มือก็ยื่นไปตักกับข้าวมาใส่จานให้เรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน
“ที่ไหน?”
“ที่สตูฯ แต่ขอร้องนะอย่าดื่มหนักแบบนั้นอีก”
“อื้อ ไม่ดื่มหนักจนขาดสติแล้ว”
“ดีแล้วล่ะ พรุ่งนี้หยุดอีกวันอยากไปไหนไหม?”
“ไม่มี เราอยากนอนทั้งวันเลยล่ะ”
“หึ ถ้าอยากนอนก็จะให้นอน”
รูปประโยคเขาฟังดูแปลก ๆ นะว่าไหม?
กลางสัปดาห์งานของลูกค้าถูกเลื่อนเข้ามาเร็วขึ้นทำให้ทีมงานตากล้องวุ่นวายอยู่ไม่น้อย พี่ ๆ เข้าไปช่วยในสตูส่วนฉันรับหน้าที่ตัดต่อเพราะมีงานด่วนแทรกเข้ามารวมถึงหลังถ่ายโฆษณาตัวนี้เสร็จฉันถึงจะมีหน้าที่ ระหว่างพี่ ๆ เข้าสตูฯ ถ่ายงานฉันก็นั่งทำงานไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดอะไรมากนัก
“ขอโทษครับพอดีผม...มิ้ง หนูจริง ๆ ใช่ไหมลูก” คนมาใหม่เอ่ยเรียกชื่อฉันเสียงสั่น หันกลับไปมองก็เจอกับร่างภูมิฐานของคนที่ถือวิสาสะติดต่อฉันมาตลอดหลายวันแม้ฉันจะบล็อกไลน์ ตัดขาดช่องทางการติดต่อแล้วก็ตาม
“สวัสดีค่ะ สตูดิโอถ่ายงานอยู่อีกด้านค่ะ” ฉันแสร้งทำเป็นไม่รู้จักผู้ชายคนนั้นพร้อมกับเอ่ยแจ้งสถานที่ถ่ายงาน วันนี้มีแค่บริษัทเดียวที่สตูถ่ายวันนี้และไม่พ้นคนตรงหน้า
“มิ้ง พ่อเองไงลูก พ่อ...”
“เชิญคุณลูกค้าทางนี้ค่ะ...” ฉันไม่สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามจะพูด ขยับลุกขึ้นยืนพร้อมกับผายมือเชิญไปทางด้านสตูดิโอถ่ายทำ เดินไม่ถึงสองเก้าก็เจอเข้ากับพี่ฝ้ายที่เดินมาจากห้องน้ำ
“มิ้งไปไหน?”
“พี่ฝ้ายพอดีเลย คุณลูกค้าหาทางเข้าสตูฯ ไม่เจอค่ะ พี่ว่างพาลูกค้าไปสตูฯไหม หนูตัดงานค้างไว้ยังไม่ได้บันทึกเลย” รีบถามพี่ฝ้ายแทบจะทันที
“ว่าง ๆ เดี๋ยวพี่พาลูกค้าไปเอง สวัสดีค่ะเชิญทางนี้ค่ะลูกค้า” พี่ฝ้ายพยักหน้าเข้าใจก่อนจะเดินเข้าไปคุยกับลูกค้าคนนั้น ส่วนฉันเมื่อลูกค้าคนนั้นเดินหายไปกับพี่ฝ้ายพร้อมกับท่าทีแสนจะเสียดายฉันก็รีบกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองทันที จากนั้นก็ใส่หูฟังตัดงานต่อด้วยจิตใจที่ไม่ค่อยสงบเท่าไหร่นัก
ภายในใจภาวะนาให้งานชิ้นนี้จบเร็ว ๆ ไม่อยากจะเจอเขาอีกแล้ว ไม่อยากรู้จักไม่อยากติดต่อเลยสักนิด
เที่ยงตรงมื้อเที่ยงที่พี่ ๆ สั่งเข้าสตูฯมาส่ง ฉันเดินนำและถืออาหารช่วยพนักงานส่งอาหารไปที่สตูฯช่วยจัดเรียงไว้ที่โต๊ะมุมด้านหนึ่งเสร็จเรียบร้อยก็กลับมาที่ส่วนบริษัทเพื่อกินข้าว ทีมงานส่วนใหญ่จะไปที่สตูกันหมดที่แผนกมีเพียงฉัน พี่ฝ้าย พี่หนุงหนิงแล้วก็พี่น้ำที่ยังอยู่ที่นี่ วันนี้มีดารามาถ่ายโฆษณาเราเลยต้องจัดทีมงานเพื่อดูแลทั้งลูกค้าและพรีเซนเตอร์
เที่ยงครึ่งเกรฟโทรมาและวิดีโอคอลทิ้งไว้กระทั่งฉันกินข้าวเสร็จ นั่งกินขนมกับพี่ ๆ เกรฟก็ยังไม่วางสายแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดฉันยังคุยเล่นกับพี่ ๆ ได้อย่างเป็นปกติ
(เดี๋ยวเย็นนี้ไปรับนะ เวลาเดิมไหม?)
“ไม่รู้เลยว่าจะได้ทำงานต่อไหม อยากเคลียร์ให้เสร็จอะ”
(งานชิ้นไหน?) เกรฟถามต่อพร้อมกับหรี่ตามองนิ่งๆ
“งานโฆษณาน้ำหอม”
(เดี๋ยวไปอยู่เป็นเพื่อน)
“ไม่ต้องก็ได้ ต้องเข้าร้านอีก จะเหนื่อยเปล่า ๆ” ไม่อยากให้อีกฝ่ายตัวติดกับฉันจนเสียงานเลย กลัวคนอื่นจะมองและว่าเขาไม่มีความรับผิดชอบเอาได้ ถึงแม้ฉันจะรู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่าเขานั้นเก่งและมีความสามารถความ มีความรับผิดชอบมากแค่ไหน
(วันนี้ไม่มีเช็กของ ไปอยู่ด้วยได้)
“งั้นก็ได้ เราคงไม่ทำนานหรอก”
(ครับเดี๋ยวสักสี่โมงเย็นจะเข้าไป จะซื้อมื้อเย็นเข้ามาให้ด้วยเลย ถ้ามีพี่ ๆ อยู่ถามให้ด้วยนะว่าจะกินอะไรเดี๋ยวซื้อเข้าไปให้) เกรฟบอกอย่างใจดี
“โอเค เดี๋ยวเราบอกอีกทีนะ”
“ทุกคนเย็นนี้ถ่ายงานเสร็จแล้วไปกินข้าวด้วยกันนะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง” พี่กราฟที่จู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาในห้องเอ่ยบอกกับพวกเราที่ยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงาน แม้จะเหลือส่วนน้อยแล้วก็ตามเพราะบางส่วนยังทำงานกันอยู่ที่สตูดิโอ
“ค่า จะหิ้วท้องรอเลย”
“แต่ก่อนออกไปพี่ขอประชุมกับหุ้นส่วนก่อนนะ ระหว่างรอก็หาร้านกันเลย” พี่กราฟย้ำอีกครั้งก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องทำงานตัวเอง ถ้าแยกมาเคลียร์งานแบบนี้งานที่ถ่ายคงใกล้จะเสร็จแล้วล่ะฉันว่า อีกไม่กี่สิบนาทีก็จะสี่โมงเย็นแล้ว สี่โมงครึ่งเกรฟเดินเข้ามาพร้อมกับเครื่องดื่มและขนมฝากทั้งฉันและพี่ ๆ ที่ทำงานด้วยกัน
“พี่กราฟบอกจะพาไปกินมื้อเย็นเลยไม่ได้ซื้อข้าวมาให้นะ” เกรฟรีบอธิบายเมื่อเห็นว่าฉันมองเขาอย่างสงสัยอยู่ แต่ที่สงสัยไม่ใช่เรื่องที่ไม่ซื้อข้าวแต่สงสัยที่วันนี้เขาใส่เสื้อเชิ้ตไม่ใช่เสื้อยืดอย่างที่เจ้าตัวชอบใส่
“เสื้อเชิ้ต? ...”
“อ้อ ไปคุยเรื่องที่ดินมา เราซื้อใหม่น่ะจะทำอพาร์ทเมนต์” เกรฟยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันมองซ้ายขวาหาเก้าอี้ว่างจากนั้นก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างฉันเงียบ ๆ เพื่อไม่เป็นการรบกวนการทำงานของฉัน
“ก็ว่าอยู่ ปกติใส่เสื้อยืด”
“ฮ่า ๆ ๆ น่ารักจัง ก่อนออกไปกินข้าวจะเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดละ” เกรฟยื่นมือไปหยิบบราวนี่กรอบไปแกะกินไม่ลืมยื่นมาป้อนฉันอย่างใจดี ฉันเองพอถูกป้อนขนมก็อ้าปากรับไม่เกี่ยงงอน
“ไม่เห็นต้องเปลี่ยนเลย”
“ชอบแบบนี้เหรอ?” เกรฟทวนถามพร้อมกับใช้สายตาพราวระยิบระยับจ้องมองมาอย่างเฝ้ารอคำตอบ
“อื้อ เท่ดี”
“เขินอะ” เกรฟฟุบหน้าลงบนไหล่ฉันพร้อมกับพึมพำว่าเขินไม่หยุด ก็เขาเป็นคนถามเองนี่นาพอตอบก็มาเขินเนี่ยนะ เกินไปแล้วเกรฟ เกินไปแล้วจริง ๆ
“เกรฟ มาแล้วเหรอ?”
“มาแล้วครับ ประชุมตอนไหน?” เกรฟขยับออกห่างหันไปมองด้านหลังที่มีพี่กราฟพี่ชายของเขายืนอยู่
“น่าจะอีกสักสามสิบนาที รอเจมส์กับวอนมันเคลียร์สตูก่อน” พี่กราฟตอบพร้อมกับเดินข้ามาใกล้เราทั้งสอง พี่ ๆ คนอื่นที่นั่งอยู่ทางเข้าก็มองมาเงียบ ๆ ก่อนจะหันกลับไปทำงานตัวเองต่อ
“ลูกค้ากลับแล้วเหรอ?”
“กลับเมื่อกี้ ทีมงานเหลือแค่เราแล้วล่ะ”
“เรื่องอะไรพี่ ซีเรียสระดับไหน?” เกรฟถามพี่ชายเจ้าตัวมือก็ส่งขนมให้พี่กราฟ คล้ายจะคุยเรื่องซีเรียสแต่เอาเข้าใจพวกเขาชิลมากเลยนะ
“บ้านหลังข้าง ๆ พี่ว่าจะซื้อเห็นเขาประกาศขาย แต่รอคุยกับทุกคนก่อน”
“โล่งไป นึกว่าเรื่องอะไร เย็นนี้ผมไปด้วยนะกินข้าว”
“ได้ ๆ”
“กราฟ เกรฟ พร้อมแล้วไปเลยไหม” เสียงพี่วอนตะโกนเข้ามาหลังจากสองพี่น้องคุยเล่นกันไปสักพักใหญ่
“ไปเลย ๆ” พี่กราฟตะโกนกลับไปจากนั้นหนุ่ม ๆ ก็เดินเข้าห้องทำงานพี่กราฟไปด้วยกันทั้งหมด ส่วนสาว ๆ ที่เหลืออยู่ด้านนอกก็หาร้านอาหารสำหรับมื้อเย็น จากที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะอยู่เคลียร์งานวันนี้คงต้องพับเก็บโครงการไปก่อนเพราะพี่ ๆ คงไม่ยอมให้อยู่ทำตนเดียวอย่างแน่นอน
“มิ้ง ไม่ต้องอยู่ทำงานต่อนะ ไปกินข้าวด้วยกัน” พี่น้ำเอ่ยชวน ฉันพยักหน้ารับพร้อมกับขอทำงานอีกสักยี่สิบนาทีพี่ ๆ เองก็ไม่ได้ว่าอะไรปล่อยให้ฉันได้ทำงานตัวเองต่อจนเกือบเสร็จเรียบร้อย นานเกือบสี่สิบนาทีเกรฟถึงได้เดินเข้ามาใกล้พร้อมวางฝ่ามืออุ่นลงบนเรือนผมอย่างนุ่มนวล
“ใกล้เสร็จหรือยัง?” เกรฟกระซิบถามเสียงเบาพร้อมกับช่วยหยิบจับของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋าสะพายหลัง
“อื้อ เดี๋ยวบันทึกเสร็จก็จะปิดคอมแล้วล่ะ”
“ค่อย ๆ ทำไม่ได้เร่งเดี๋ยวเก็บของให้เอง” คนตัวสูงอาสาช่วย
“ขอบคุณค่ะ”
“ด้วยความยินดีครับ พี่ ๆ น่าจะออกไปรอที่ร้านแล้วเดี๋ยวเราปิดสตูเสร็จค่อยตามไป”
“โอเคค่ะ” กว่างานจะบันทึกเสร็จในสตูก็ไม่มีใครแล้วนอกจากฉันและเกรฟ ระหว่างปิดคอมพิวเตอร์เกรฟก็เดินไปล็อกประตูหน้าต่างจากนั้นก็ทยอยปิดไฟเพื่อพาฉันออกไปที่ร้านอาหารที่พี่ ๆ นัดไว้
“อ้าว อะไรเนี่ยจู่ ๆ ก็ตกลงมา” เกรฟบ่นไม่จริงจังนักเมื่อจู่ ๆ ฝนก็เริ่มตกลงมาไม่ขาดสาย จะว่าไปช่วงนี้ก็อยู่ในฤดูฝนนั่นแหละแต่ไม่คิดว่าจะตกบ่อยขนาดนี้
“ฝนตกหนักเลย”
“ดีนะวันนี้ไม่เข้าร้าน”
“จะไม่เป็นอะไรใช่ไหมถ้าไม่เข้าร้านน่ะ” เพราะหลัง ๆ มาเหมือนเกรฟจะไม่ค่อยเข้าร้านเลย ฉันกลัวว่าจะมีปัญหาตามหลังมา
“ไม่เป็นไรเพราะตอนเช้าก็เข้าไปเอาบัญชีมาตรวจอยู่แล้ว” คนที่ทำหน้าที่ขับรถพยายามอธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น ฉันเองพอได้ยินแบบนั้นก็ไม่รู้จะถามอะไรต่อในเมื่อเขามั่นใจว่าไม่มีปัญหา ฉันก็ไม่อยากพูดหรือทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ
“หิวหรือยัง? รถติดมากเลย” เมื่อฝนเริ่มตกรถก็แทบจะไม่ขยับ
“ยังไม่หิว แต่หนาว...”
“แจ็กเกตอยู่ด้านหลังหยิบถึงไหม?” ฉันค่อย ๆ เอี้ยวตัวไปทางด้านหลังยื่นมือไปหยิบเสื้อแจ็กเกตของเกรฟมาคลุมร่างตัวเองเพิ่มความอบอุ่น ระหว่างที่หยิบเสื้อเกรฟก็ใช้มือข้างหนึ่งประคองเอวฉันไว้ป้องกันไม่ให้ล้มหรือพลัดตกจากเบาะ ระหว่างเดินทางไปที่ร้านอาหารฉันเปิดเพลงคลอเบา ๆ ในรถมีบ้างที่เกรฟพึมพำร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี ต่างจากสถานการณ์นอกรถเสียจริง
“มิ้ง”
“หือ?”
“กลับไปกินห้องไหม?”
“แล้วพี่กราฟจะไม่ว่าเหรอ?” ตอนนี้จากที่ติดอยู่บนถนนนานเกือบยี่สิบนาทีฉันก็ท้อแล้วล่ะ เหนื่อยมากอยากกลับไปพักที่ห้องแล้วเหมือนกันแต่ก็ยังเกรงใจพี่กราฟที่พาไปเลี้ยง
“เดี๋ยวคุยกับพี่เอง กดโทรให้หน่อยครับ” เกรฟยื่นโทรศัพท์มาให้ฉันกดโทรหาพี่ชายเขา ไม่นานปลายสายก็เอ่ยทักทายกลับมา
“พี่กราฟ”
(ว่าไง ใกล้ถึงหรือยัง)
“รถติดมากเลย แทบไม่ขยับเลยว่าจะพามิ้งกลับบ้านเลยคงไม่ได้เข้าไปนะครับ”
(ได้ ๆ ไม่เป็นไร เอาไว้พรุ่งนี้พี่จะสั่งมื้อเที่ยงมาเลี้ยงอีกรอบแล้วกันนะ)
“ขอบคุณครับ งั้นผมพามิ้งกลับแล้วนะ”
(โอเค ขับรถระวัง ถึงแล้วก็ส่งบอกด้วยในไลน์กลุ่ม)
“ครับพี่เดี๋ยวบอกครับ” หลังจากวางสายจากพี่กราฟ เกรฟก็พากลับมาที่คอนโดทันทีโดยใช้เวลาหลังจากนั้นเกือบยี่สิบนาที มื้อเย็นของเราเป็นต้มยำง่าย ๆ พร้อมกับไข่เจียวกุ้ง
“ดูหนังไหม?” เกรฟถามเมื่อช่วยฉันล้างจานหลังจากกินมื้อเย็นกันเสร็จ เกรฟน่ะจะช่วยล้างจานช่วยทำกับข้าวตลอดเลยนะ ไม่มีปล่อยให้ฉันทำคนเดียวเลยหากเป็นช่วงเวลาที่เขาว่าง
“ไม่อยากดูเลย อยากอาบน้ำแล้วนอนพักเลย”
“งั้นก็อาบน้ำแล้วพักผ่อนแล้วกันนะ” เกรฟเดินเข้ามาใกล้ โน้มหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับกดจมูกและริมฝีปากลงบนแก้มฉันเบา ๆ เพราะความตกใจทำให้ไม่ทันได้คิดหรือพูดอะไร พอได้สติจะหันกลับไปดุเกรฟก็ไม่ทันเสียแล้วเพราะตัวต้นเรื่องกลับเดินพรำเพลงเดินเข้าห้องนอนไปแล้วเรียบร้อย
อีกแล้ว ชอบทำแบบนี้อีกแล้ว ฉันเองก็เขินนะหรือพอรู้ว่าฉันเขินก็ชอบแกล้งแบบนี้น่ะ
กลางดึก
คนที่งอแงจะมานอนด้วยนั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ ผ่านไอแพด ทั้งที่สถานะเราทั้งสองคนยังไม่ชัดเจนแต่การกระทำของเรานั้นต่างออกไป บางทีฉันก็อยากจะถามเขาไปตรง ๆ แต่อีกหนึ่งความรู้สึกก็ไม่กล้าที่จะถามเขา ระหว่างเราไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่าการกอดและจูบ ใช่จูบจริง ๆ เขาชอบจูบก่อนจะกลับบ้านหากค้างด้วยเขาจะจูบก่อนนอนพร้อมกับบอกฝันดี แบบนี้ระหว่างเรามันแปลกใช่ไหม เรื่องนี้ก็ไม่กล้าถามแพรเลยเพราะรู้ว่าตอนนี้เพื่อนยุ่งกับงานมีบ้างที่ส่งข้อความคุยกันแต่อยากคุยต่อหน้าเพื่อนมากกว่านะ
“นอนไม่หลับเหรอ?” คนที่นั่งทำงานอยู่เอ่ยถามเมื่อฉันตะแคงพลิกร่างไปทางเขา เกรฟยื่นมือข้างหนึ่งไปจับผ้าห่มรั้งขึ้นมาคลุมร่างให้ฉันอย่างเบามือ
“...” ฉันไม่ได้ตอบแต่ส่ายหน้าและพลิกร่างอีกครั้งนอนตะแคงหันหลังให้เกรฟจากนั้นก็หลับตาลงเบา ๆ จากนั้นก็รู้สึกคล้ายกับใครอีกคนขยับตัวนอนซ้อนหลัง รวมถึงการใช้ท่อนแขนโอบรอบเอวฉันไว้รั้งให้เข้าไปชิดเขา
“นอนพักได้แล้ว ดึกแล้ว” เกรฟกระซิบบอกเสียงนุ่มพร้อมสัมผัสอุ่นที่แตะลงบนซอกคอเบา ๆ
ไม่น่าเชื่อ เพียงแค่การกระทำเล็ก ๆ ของเขาทำให้ฉันหลับไปอย่างง่าย ราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีเรื่องคอยรบกวนจิตใจจนทำให้นอนไม่หลับ