Key & Primrose - 4 ทำความรู้จัก
ระหว่างทางที่เดินไปมะตูมก็ชวนอีกคนคุยไปตามนิสัยของคนเฟรนลี่ แถมยังคุยไปแทรกมุกตลกไปจนไผ่หลิวหลุดหัวเราะออกมาหลายที ฉันสังเกตว่าไม่ได้มีแค่ฉันเองหรอกที่หยุดมองไผ่หลิวไม่ได้ ทุกๆ คนที่เดินผ่านก็ต่างหันมามองที่พวกเรากันเป็นแถบๆ จนฉันที่ไม่ชินกับการอยู่ในที่เด่นๆ เริ่มรู้สึกแปลกๆ มานิดหน่อย
แต่ถึงยังไงก็ชั่งเถอะเพราะว่าทุกคนต่างมองมาที่ไผ่หลิว ไม่ใช่ฉันนี่นา พอนึกแบบนั้นฉันก็หายรู้สึกกังวลขึ้นมาแล้วกลับมาคุยกับทั้งสองคนต่อจนถึงที่รายงานตัว
พอพวกเราลงชื่อที่จุดรายงานตัวเรียบร้อยจู่ๆ ก็มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา พวกเขามากันสามคนโดยมีคนหน้าสุดเดินนำแล้วอีกสองคนเดินตามมา คนแรกที่เดินนำเป็นคนสูงตามมาตรฐานชายไทย การแต่งตัวดูดีแถมตัดผมทรงอันเดอร์คัตยาวแล้วเสยแหวกข้าง ดูก็รู้ว่าน่าจะเจ้าชู้ไมาเขา อีกคนที่เดินตามมาก็สูงพอกัน คนนั้นก็ผิวดีหุ่นดี หน้าออกจะเข้มนิดหน่อยแต่ผิวขาวมากตัดกับเส้นผมสีดำขลับแล้วกลับดูมีเสน่ห์จนหยุดมองไม่ได้ ส่วนคนสุดท้ายคนนี้ดูหยิ่งหน้าไม่รับแขกแบบสุดๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาก็หล่อสูสีกับอีกสองคน แต่เพราะว่าท่าทางไม่รับแขกของเขาทำเอาฉันรู้สึกเหม็นหน้าอีกฝ่ายโดยไม่มีเหตุผลซะอย่างนั้น
ทั้งสามตรงดิ่งมาทางเราจนพวกเราต่างต้องหยุดเดินเพราะว่าจะหลบทางให้แต่กลับกัน คนที่เดินนำกลุ่มกลับเดินมาคุยกับไผ่หลิว ถึงอีกฝ่ายจะทำท่าเขินๆ เล็กน้อยแต่ก็ยังส่งยิ้มให้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“ขอโทษนะเราชื่อนที อยู่คณะวิศวะอะ ถามได้มั้ยทางไปห้องประชุมอยู่ทางไหนหรอครับ?” นทีคนนั้นเอ่ยปากถามก่อนทั้งสองคนที่เดินตามมาข้างหลังจะมีท่าทางแปลกๆ ฉันเห็นเขาสองคนหันไปมองหน้ากันแล้วก็ส่งยิ้มให้กันแปลกๆ เหมือนจะมีลับลมคมในอยู่ด้วย
ส่วนไผ่หวิงเองก็ตอบคำถามแล้วบอกทางไปอย่างเป็นกันเอง
ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดประโยคต่อไป
“เอ่อ เราขอไลน์เธอไว้ได้มั้ยถ้าไม่รังเกียจ เผื่อจะได้ถามเรื่องวันรับน้องอะไรงี้”
“ตามสเต็ปเว่อร์” ฉันอดปากไม่ได้แอบหันไปกระซิบกับมะตูม ส่วนมะตูมก็เห็นด้วยกับฉันอย่างถึงที่สุด
ก็แหม… แค่เรื่องจะถามเรื่องวันรับน้องแค่นี้ ถามเพื่อนเอาก็ได้ไม่ใช่หรอ
สักพักทั้งสองคนก็ยอมแลกไลน์กันแต่โดยดี ถึงจะขอกว่ามุกนี้มองจากดวงจันทร์ก็รู้ว่าจะจีบสาวแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอะไรทุกอย่างรวมถึงความสุภาพที่ไม่ได้ทำตัวเอิกเกริกจนเกินไปนั่นทำให้ไผ่หลิวยอมทำความรู้จักด้วยแต่โดยดี
“มาไม่ถึงชั่วโมงก็ได้แล้วนะจ๊ะคนสวยย” พอเดินแยกกันออกมามะตูมก็เริ่มแซวอีกฝ่ายทันที ส่วนฉันที่อยู่ในเหตุการณ์ก็รีบเสริมทับ
“สวยได้เรื่องสุดอะไผ่หลิวว”
ส่วนคนที่โดนพวกฉันแซวก็ได้แต่ยิ้มหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศ
“บ้าหรอ เขาแค่จะเอาไลน์ไว้ถามเรื่องวันรับน้องเฉยๆ นั่นแหละ”
“หูยย หรออ?” ฉันยังไม่หยุดแซว เพราะยิ่งเห็นไผ่หลิวเขินฉันก็ยิ่งจะชอบใจ ส่วนมะตูมก็ส่งเสียงแซวตามไม่หยุด
“แต่หนุ่มคนนั้นก็หล่ออยู่นะ ว่าไม่ได้”
“หล่อมากก” ฉันรีบตอบ
“แกเห็นป้ะ ตอนที่หนุ่มคนนั้นเดินมาอะผู้หญิงแถวนั้นทุกคนมองมาเป็นตาเดียว อย่างกับฉากในซีรี่ย์เลยอะ"
“โดนจองแล้วป่ะเนี่ย? ฮ่าๆๆ” ฉันเองที่รู้สึกสนุกอยู่ก็พูดเล่นไปพลางทำหน้าทะเล้นใส่จนไผ่หลิวถึงกับยิ้มเขินไปไม่เป็น
…
"สวัสดีไผ่หลิว"
เสียงทักทายจากหนุ่มหล่อโต๊ะข้างๆ ดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวที่พวกเราต่างก็รู้แล้วว่าคนนั้นคือใคร แถมตามมาด้วยเพื่อนอีกสองคน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ฉันรู้สึกว่ากำลังเดจาวูแบบแปลกๆ
"อะ.. อ้าว นที" ไผ่หลิวหันไปทักทายแบบเกร็งๆ
ฉันเองที่เห็นก็รู้สึกแปลกใจ เพราะนึกว่าตั้งแต่วันนั้นทั้งไผ่หลิวกับนทีจะได้ทำความรู้จักจนสนิทกันไปแล้วซะอีก
"มาเที่ยวที่นี่เหมือนกันหรอ? เราเพิ่งจะเคยมาอะ เพราะจริงพวกเราเพิ่งจะมาจากต่างจังหวัดก็เลยลองมาเที่ยวดู"
นทีมาถึงก็ชวนคุยทันที ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งฟังอย่างสนใจ พลางรู้สึกแปลกใจเพราะคิดว่ากลุ่มนทีจะเป็นคนในเมืองเสียอีก
"อ้าว มาจากต่างจังหวัดหรอ จังหวัดอะไรอะ?" มะตูมที่มักจะเป็นคนชอบชวนคุยกลับเป็นฝ่ายถามขึ้น ทำให้บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็น
"พวกเรามาจากนนท์อะ"
"หูยย หนุ่มนนท์ จะมีวาสนาได้ควงหนุ่มนนท์บ้างมั้ยน้าา" ไม่วาย มะตูมยังแซวพวกนทีจนนทีหัวเราะออกมา พร้อมกับอีกสองคนที่ยิ้มกันอย่างชอบใจ แม้แต่ฉันนกับไผ่หลิวเองก็ยังหัวเราะกับคำพูดคำจาของมะตูมเหมือนกัน