Key & Primrose - 1 หนุ่มหล่อในผับ
“ป่านนี้แล้วอิหลิวยังไม่มีอีก”
เสียงชายหนุ่มบ่นกึ่งโวยวายขึ้นมาแข่งกับเสียงเพลงตื้ดที่ดังกระหึ่มในผับจนฉันต้องเงยหน้าแล้วหันไปมองตามสายตาอีกคน
ฉันชะเง้อชะแง้มองตามสักพักก็ยังไม่เห็นวี่แววของใครบางคนที่เป็นคนออกปากชวนทุกคนให้มาที่นี่อย่าง ไผ่หลิว สักที
“นั่นสิ หลิวจะลืมป้ะเนี่ย?” ฉันเองก็เริ่มรู้สึกใจแป้วด้วยความลังเลขึ้นมาเช่นกัน จากตอนแรกที่มั่นใจมากว่าไม่ว่าอย่างไรคืนนี้พวกเราก็ต้องได้รวมตัวเพื่อดื่มเหล้าร่วมสาบานจนได้เมากันไปข้าง แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ทั้งฉันและชายหนุ่มหน้าหวานที่กำลังนั่งข้างๆ ฉันจะเริ่มรู้สึกใจไม่ดีเหมือนกันโดยที่ไม่ได้นัดหมายซะแล้ว
ไผ่หลิว หรือที่ฉันเรียกสั้นๆ ว่า หลิว เป็นเพื่อนใหม่ที่ฉันและมะตูมเพิ่งจะเมคเฟรนด์กันได้ไม่นาน เธอเป็นผู้หญิงที่สวยเฉี่ยวมาก จำได้ว่าวันแรกที่มาปฐมนิเทศผู้ชายแบบจะทั้งคณะสนใจที่เธอหมดเพราะคิดว่ามีดารามาปฐมนิเทศด้วย ด้วยความที่เธอทั้งผิวดี หุ่นดี หน้าตาสวย ยืนเฉยๆ ก็เด่นจนกระทั่งโดนพี่ๆ หมั่นไส้แล้วกลั่นแกล้งเข้านี่แหละ
“โอ๊ย โรส แกโทรหามันดิ๊ ถึงไหนแล้วเนี่ย” มะตูมชักจะรอไม่ไหว อีกฝ่ายจึงสะบัดหน้าหันกลับมาด้วยอารมณ์สีหน้าที่เริ่ทจะยุ่งๆ
ใช่แล้ว ส่วนผู้ชายหน้าตี๋ปนหวานที่กำลังนั่งร่วมโต๊ะด้วยกันนี่คนนี้ก็ไม่ใช่ใคร เขาก็คือมะตูม เพื่อนสาว คนสนิทของฉันเอง ฉันรู้จักกับมะตูมตั้งแต่สมัยเรียน ม.ปลายแล้ว ด้วยเหตุผลที่ฉันนั้นไม่ค่อยมีเพื่อนแต่ดันเรียนเก่ง คนติดเที่ยวและชอบเล่นอย่างมะตูมก็เลยหาทางมาติดฉันแจอย่างกับตังเม จนสุดท้ายเราก็เป็นเพื่อนสนิทกัน
มะตูมมักเป็นคนเฮฮาปาร์ตี้เสมอ อีกคนจึงเป็นเหมือนสีสันชีวิตของยัยเนิร์ดอย่างฉันได้อย่างไม่ต้องสงสัย บอกเลยว่าคนนี้ออกจากจะใช้ชีวิตและเอาตัวรอดเก่ง ปากก็เก่งไม่แพ้กัน ถ้าใครโดนมะตูมด่าให้ละก็ ไม่อยากจะนึก…
ฉันที่เห็นว่ามะตูมเริ่มจะรอไม่ไหวแล้วก็รีบคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพลางกดเบอร์โทรหาไผ่หลิวทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะลุกขึ้นมางอแงไปมากกว่านี้
“ฮัลโหลล” ไม่นานปลายสายก็ตอบรับกลับมาเสียงใส ไม่ได้รับรู้เลยว่ามีใครกำลังนั่งรออย่างร้อนรนใจอยู่ที่ผับเช่นฉันหรือมะตูมเลยสักนิด
มันน่ามั้ยเนี่ย ฉันนึกก่อนจะกรอดเสียงถามปลายสาย
“ยัยหลิว แกถึงไหนแล้วเนี่ย?”
“จะถึงแล้วๆ” อีกฝ่ายตอบกลับ
"ประโยคคลาสสิคสุดๆ คำว่าจะถึงแล้วส่วนใหญ่แปลว่าเพิ่งจะออกจากบ้านนะแก" ฉันเหน็บไปหนึ่งที ก่อนที่อีกฝ่ายจะหัวเราะกลับมา
“มันว่าไง?” มะตูมที่เห็นว่าปลายสายมีคนรับแล้วก็ชะโงกหน้าเข้ามาถาม
“หลิวบอกว่าใกล้จะถึงแล้ว” ฉันตอบกลับไป มะตูมที่ได้ฟังก็รีบฉวยมือถือของฉันไปถือสายคุยเองพลางเท้าสะเอวราวกำลังจะเอาเรื่องคนในสายอยู่ก็ไม่ปาน ถึงจริงๆ แล้วมันจะแบบนั้นก็ตามที
“นี่อิตัวดี มึงนัดพวกกูกี่ทุ่มเนี่ย เวลากะเทยเว่อร์นะมึง ปากบอกจะถึงแล้ว จะถึงไหนแน่ โอ๊ยย รีบมาเลยนะ มึงจะมาช่วยเขาปิดผับรึไง” เพื่อนของฉันโวยวายยกใหญ่พลางบ่นอุบยาวเหยียดจนคนฟังอย่างฉันแอบนึกขำขึ้นมา มะตูมมักจะเป็นคนแบบนี้แหละ แต่ใจจริงอีกฝ่ายมักเป็นคนใจอ่อนและเต็มที่กับคนรอบข้างมาก ๆ ถึงจะพูดมากและขี้บ่นไปสักนิดก็เถอะ แต่เดี๋ยวไม่นานมะตูมก็จลืมเรื่องนั้นไปเอง
ฉันนั่งดูเพื่อนสาวของฉันทั้งบ่นทั้งสาปคนมาสายอย่างไผ่หลิวอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จู่ๆ มะตูมจะเหลือบไปเห็นใครบางคนเข้า แล้วไม่นานคนโกรธง่ายหายเร็วอย่างมะตูมจึงเริ่มทำท่ากระซิบกระซาบพร้อมเมาท์ต่อ อีกฝ่ายยกมือขึ้นมาป้องมือถือจนฉันเองยังต้องชะโงกหน้าเขาไปฟังด้วยเพราะอยากรู้ว่ามะตูมจะพูดว่าอะไร
“อิหลิว… จะบอกให้นะว่าถ้ามึงไม่รีบมา มึงอาจจะต้องเสียใจตลอดชีวิต..” ท่าทางรวมถึงน้ำเสียงของชายหนุ่มเปลี่ยนฉับพลันทำฉันสงสัย จนต้องนั่งเงียบตั้งใจฟังเพื่อรอให้อีกคนพูดประโยคต่อไป
“โต๊ะข้างๆ หล่อกมากมึง...” เขาพูดด้วยสายตามุ่งมั่น แถมมันยังเป็นประกายเงาวับราวกับว่ากำลังได้เจอของเด็ดของดีจนฉันเองยังต้องแอบเอี้ยวใบหน้าไปมองที่โต๊ะข้างๆ ตามคำบอกเล่าของมะตูมบ้าง ทว่าในผับนี้คนก็เยอะแถมแสงไฟก็มีน้อยจนมันไม่เป็นใจต่อการมองเห็นเอาเสียเลย ฉันก็เลยไม่ได้เห็นว่าใครจะหน้าตาหล่อเหลาเข้าตาฉันอย่างที่มะตูมว่าเลยสักคน
“รีบมาก่อนเขาจะกลับกับคนอื่นหรือไม่ก็ก่อนที่กูจะเอาไปแดก ให้เร็วเลยนะ”