bc

วุ่นวายนักจู่ๆมีพ่อเป็นซุปตาร์

book_age16+
465
ติดตาม
1.7K
อ่าน
จบสุข
รักต่างวัย
คู่ต่างขั้ว
เกรียน
แม่เลี้ยงเดี่ยว
ดราม่า
like
intro-logo
คำนิยม

ฉันผู้ซึ่งโตมาท่ามกลางพี่น้องนับไม่ถ้วน เพราะอะไรนะเหรอ เพราะฉันเติบโตมาในบ้านเด็กกำพร้าไงล่ะ แตกต่างแค่นิดเดียว ฉันไม่ได้กำพร้าทั้งพ่อ และแม่ เหมือนพี่น้องคนอื่นๆ ฉันกำพร้าแค่พ่อ มีแม่ผู้ซึ่งเป็นผู้ดูแลสถานสงเคราะห์แห่งนี้มาตั้งแต่เกิด

ฉันพยายามถามแม่มาตลอดนับตั้งแต่จำความได้ คำตอบเดียวของฉันคือความเงียบ...

ก็พยายามทำความเข้าใจและยอมรับความจริงแล้วนะ ฉันจะมีอายุเต็มสิบแปดปีแล้ว นั่นหมายความว่าฉันสามารถดูแลตัวเองได้มากกว่าเดิม ฉันเลยตั้งใจ จะออกไปควานหาความจริง

ไม่มีทางที่ฉันจะเกิดมาโดยไม่มีพ่อ ตามหลักความจริงบนโลก แม่ฉันต้องมีความสัมพันธ์ทางกายกับผู้ชายแม่ถึงจะอุ้มท้องมีฉันได้ นั่นคือสิ่งที่ฉันเรียนผ่านตำรามาเลยนะ แม่คงมีเหตุผลแหละ และฉันเองก็มีเหตุผลเช่นกัน ฉันแค่อยากรู้เท่านั้นเอง พ่อฉันเป็นใคร? ฉันไม่ได้ต้องการไปทวงถามความรับผิดชอบจากเขาเสียหน่อย ฉันโตเกินกว่าที่จะแบมือขอสตางค์ของแม่ และพ่อแล้วนี่นา

chap-preview
อ่านตัวอย่างฟรี
...วุ่นวายนักจู่ๆ มีพ่อเป็นซุปตาร์... บทที่1.
ฉันกับแม่และโลกของฉัน ในทุกๆ วันความโกลาหลในบ้านกลายเป็นเรื่องชินชาสำหรับฉันแล้วล่ะ ฉันตื่นนอนมาพบกับความวุ่นวายและเสียงเจี๊ยวจ้าวของบรรดาน้องๆ ที่มีมากกว่าสิบชีวิต แม่ฉันไม่ได้มีลูกดกหรอกนะ เพียงแค่แม่ฉันเป็นเจ้าของสถานสงเคราะห์ที่ต้องรับเด็กไร้บิดา มารดามาอยู่ในความดูแล เท่าที่จำความได้ ฉันมีพี่น้องร่วมร้อยคนแล้วมั้ง          “เอล ลงมาช่วยแม่หน่อยสิ สายแล้วนะ”          ฉันบิดขี้เกียจ สะบัดผ้าห่ม ฉวยเสื้อคลุมมาสวมทับชุดนอนลายการ์ตูนชุดเก่ง แล้วก็เดินหน้ายับลงมาด้านล่าง          “ล้างผักพวกนั้นหั่นใส่ตะกร้า แล้วก็ออกไปกำราบเด็กๆ ด้านนอกให้ลดเสียงลงด้วย ก่อนที่ป้าข้างบ้านจะมากดกริ่งด่า”          แม่สั่งรัวเป็นปืนกล ฉันเลยหมุนตัวเดินออกไปที่ห้องโถง ที่นั่นกำลังมีสงครามย่อมๆ เกิดขึ้น พื้นเต็มไปด้วยของเล่นและเด็กๆ กำลังส่งเสียงเจี๊ยวจ้าวกันอยู่          “เงียบ!” ฉันตะโกน ฉวยกระป๋องน้ำที่วางอยู่บนพื้นมาถือไว้ พร้อมกับกวาดตามองหาตัวช่วย “ถ้าไม่อยากอาบน้ำเย็นตอนนี้ หยุดส่งเสียงได้แล้ว พี่ไม่ได้ล้อเล่นนะ” ไม่กวาดด้ามยาวรวมทั้งถังน้ำในมือ สยบเสียงที่ดังสนั่นเกือบแก้วหูลั่นลงได้ในทันที          อากาศไม่เย็นเท่าไหร่หรอก แต่ตอนเช้าแบบนี้น้ำในถังเย็นฉียบเชียวแหละ หากไม่อยากหนาวตาย เด็กๆ ควรรีบสงบปาก          “พี่เอลใจร้าย”          มีเสียงบ่นพึม “พี่ใจดีกว่าป้าสมรเยอะแยะ”          ป้าสมรอยู่ข้างบ้าน เป็นมนุษย์ป้าตามตำนานและสมบูรณ์แบบที่สุด ชอบสอดส่องเหมือนอยู่ในรั้วบ้านเดียวกัน นินทาได้แม้แต่เรื่องไม้จิ้มฟันยันสากกะเบือ หนียังไงก็ไม่พ้น เพราะป้าว่างงาน มีเวลาทั้งวันสำหรับเก็บข้อมูล แล้วนำไปกระจายข่าวให้เพื่อนบ้านคนอื่นรู้          ฉันโดนหนักสุดเพราะฉันไม่ยอมถูกนินทาฟรี          วันไหนที่มีเรื่องเกี่ยวพันกับฉันเข้าหู วีรกรรมของป้าข้างบ้านก็จะพร่างพลูออกจากปากฉัน เข้าหูทุกคนในหมู่บ้านเช่นกัน          งานอดิเรกที่คนสูงอายุชอบนักหนาไงล่ะ          เรื่องการฝึกสมองด้วยการนับเลข...ป้าสมรมักจะเปิดบ้านเป็นวงไพ่เล็กๆ วันไหนที่แกมีสมัครพรรคพวกมาเยือน ก็จะไม่เห็นแกนั่งชะเง้อชะแง้อยู่หน้าบ้านนั่นไง          ฉันยังไม่อยากทำบาป ฉันเลยแสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่อย่างนั้นเหรอ สมัครพรรคพวกของแก คงได้วิ่งหนีตาแหก ฉันขู่ว่าจะแจ้งความ หากป้าคุกคามแม่ของฉันมากไปกว่านี้อีก          “ไปๆ เข้าไปช่วยแม่ทำกับข้าวเช้าเถอะ ส่วนเราน่ะ มาช่วยพี่เอาผ้าลงถัง”          โชคดีที่เด็กรุ่นนี้ไม่มีเด็กเล็กขนาดช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มีเด็กโตพอให้แบ่งเบาภาระเรื่องงานบ้านได้แล้ว ช่วงนี้โรงเรียนปิดเทอมเลยวุ่นวายมากหน่อย หากเป็นช่วงที่โรงเรียนเปิด กลางวันคือเวลาที่แม่ได้พัก          แม่ฉันนับว่าเป็นหญิงแกร่งทีเดียว แม่กัดฟันเลี้ยงฉันมา ไม่ปริปากบ่นให้ได้ยินสักคำ คำนินทาเป็นเพื่อนสนิทกับแม่เชียวล่ะ ก็มีเพื่อนบ้านอย่างป้าสมรไง กว่าฉันจะโตแม่คงชินชากับเรื่องแย่ๆ ที่ป้ามหาภัยเอาไปโพนทะนา ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันแม่จะอมพะนำเรื่องพ่อฉันไว้ทำไม          พ่อฉันมีตัวตนสิ แต่แม่เลือกที่จะปิดปาก และไม่เอ่ยถึงชายผู้นั้น          ฉันเคยถามแม่นะ แม่ทำแค่ยิ้มแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องพูด แววตาเศร้าๆ ของแม่ ฉันเลยไม่อยากคาดคั้น          เมื่อก่อนแม่เคยจ้างคนงานเพื่อแบ่งเบาภาระเรื่องงานบ้าน แต่เพราะรายได้ที่ลดลงแม่จึงจำเป็นต้องตัดรายจ่ายบางส่วนออก ไม่อย่างนั้นเด็กๆ พวกนี้คงต้องอดมื้อกินมื้อ ฉันเคยถามแม่ ทำไมแม่ถึงยังแบกภาระเรื่องเด็กๆ ไว้ ความจริงแม่ไม่จำเป็นต้องดูแลคอยสั่งสอนเด็กพวกนี้เลย แม่ตอบแค่ว่า “แม่ทิ้งเด็กๆ ไม่ลง หากจับพวกเขาไปอยู่ที่อื่น กลัวพวกเขาไม่มีความสุข”          ฉันเลยต้องพยายามช่วย ฉันโตแล้วนี่          “วันนี้แม่ทำอะไรให้พวกทโมนพวกนั้นกินคะ”          แม่หันมามองฉันแล้วก็ยิ้มแต่ไม่ตอบ แม่ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ฉันรู้หรอก แค่มองผ่านๆ ฉันก็รู้แล้ว เมนูเช้านี้คงไม่พ้น “แกงจืด” โชคดีที่แม่มีฝีมือปรุงอาหาร รสชาติที่ได้ชิมเลยไม่จำเป็นต้องฝืนกลืนลงท้อง          เชื่อเถอะเด็กพวกนั้นก็คิดเหมือนฉัน ทุกวันนี้เพราะแม่ พวกเราทั้งหมดเลยยังอยู่ร่วมกัน ถึงฉันจะรำคาญในบางครั้ง แต่ฉันก็ทนเห็นเด็กๆ เหล่านี้ถูกจับแยกไปอยู่ตามสถานสงเคราะห์อื่นไม่ไหวเหมือนกัน          พวกเขาเป็นเหมือนน้องๆ ของฉันนี่นะ ความลับที่ฉันบังเอิญค้นพบ “วันนี้แม่ออกไปข้างนอกนะ เอลพาน้องทำงานบ้านด้วยล่ะ” ฉันพยักหน้ารับ ช่วงปลายเดือนแบบนี้แม่มีธุระที่เดียวนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีสตางค์มาซื้ออาหารและของใช้ในบ้าน ฉันคิดในใจแต่ไม่เคยปริปากบอกแม่ สักวัน ฉันจะทำให้แม่มีสตางค์ ไม่ต้องบากหน้าไปอ้อนวอนคนอื่น “ถูบ้าน ถอนหญ้า เก็บใบไม้แห้ง แล้วก็รดน้ำต้นไม้ มีอะไรอีกไหมคะแม่” ฉันทวนคำสั่งที่แม่พูดให้ฟังเมื่อคืน “เก็บกระดาษในลังเอาไปชั่งกิโลขายด้วย ขวดหลังบ้านแม่เก็บไว้ถุงใหญ่เลยนะ” “จะได้กี่สตางค์กันคะ ช่วงนี้แม้แต่ขยะยังขายยากเลยแม่” ภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน แม่ค้ามีมากกว่าคนซื้อ คนมีเงินเลือกที่จะเก็บออมมากกว่านำเงินส่วนตัวออกมาใช้จ่าย การค้าฝืด อะไรๆ ก็พลอยอัตคัดไปด้วย “ก็ดีกว่าทิ้งเฉยๆ นั่นแหละ” มันก็ใช่อย่างที่แม่พูด หากทิ้งเปล่าๆ ก็ไม่ได้อะไรกลับคืนมา การเก็บสะสมขยะไว้ บางทีก็เกิดประโยชน์ อย่างน้อยก็ยังได้ซื้อน้ำยาล้างจาน หรือไม่ก็ผงซักฟอกได้ หลังกำกับให้เด็กๆ กินจนอิ่ม กำชับให้ทำความสะอาดจานชามและย้ำเรื่องที่แม่สั่งฉันไว้เกินสามรอบ แม่จึงยอมตัดใจฉวยกระเป๋าสะพายใบเก่งเดินออกจากบ้าน ทิ้งให้ฉันคอยดูแลเด็กในอุปถัมภ์แทน “ไป...รีบๆ ทำงานเสร็จแล้วจะเปิดทีวีให้ดู” การประหยัดไฟเป็นอีกเรื่องที่แม่เข้มงวด ค่าไฟฟ้าที่บ้านฉันแค่หลักพันเองนะ แต่นั่นก็คือสตางค์ที่ต้องเจียดออกมาจากค่าอาหาร ดังนั้นหากไม่จำเป็น ฉันแทบจะไม่เปิดทีวีกลางบ้านเลย เพราะมีแรงกระตุ้น เด็กๆ เลยขยันเป็นพิเศษ เริ่มด้วยการกวาด เก็บ และถูพื้นบ้านเป็นลำดับสุดท้าย กว่าจะครบทุกห้อง ทุกซอกทุกมุมของบ้านก็เล่นเอาเหงื่อไหลย้อยไปเหมือนกัน งานในบ้านสำเร็จ ที่นี้ก็ยกโขยงออกไปทำนอกบ้าน “พี่เอลลังนั่นน่ะ เอาไปรวมกับกระดาษของแม่หลังบ้านไหมคะ” สายใจวัยสิบปีอยู่ชั้นประถมสี่ชี้มือไปบนขื่อหลังคาลานซักล้าง ซึ่งพื้นที่นั้นฉันไม่เคยสังเกตมาก่อน ไม่คิดว่าใครจะอุตริเอาลังกระดาษขึ้นไปวางไว้บนนั้น “เรียกชัชมาปีนเอาลงมาเถอะ ใครเอาขึ้นไว้นะ” ชัชป้ายปีนขึ้นไปใช้มือดันลังกระดาษใบนั้นจนหล่นลงมาที่พื้น ฝุ่นฟุ้งกระจาย รวมทั้งของในลังใบนั้นด้วยกระดาษเก่าจนเปลี่ยนสี รูปถ่ายหลายใบ รวมทั้งกล้องถ่ายวีดีโอรุ่นเก่า “ว้าวพี่เอล มีกล้องด้วยค่ะ” เด็กๆ ฮือเข้ามามุง ความสนใจรวมอยู่ในสมบัติที่เพิ่งค้นพบ “ใช้ได้หรือเปล่า หล่นมากระแทกพื้นเสียแล้วมั้ง” ฉันหยิบกล้องขึ้นมาจากพื้น สำรวจไปรอบๆ ไม่มีร่องรอยบุบสลาย เป็นกล้องเก่าๆ ที่ใช้ถ่านเป็นแบตเตอรี่ ไม่เหมือนกล้องสมัยนี้ที่ใช้การชาร์จไฟ ฉันลองกดเปิด มีไฟสีแดงสว่างวาบขึ้นมา ก่อนจะดับวูบไป “ถ่านน่าจะหมดอะพี่เอล” ชัชออกความเห็น “อืม...คงงั้น” “เอาไงดีพี่เอล เผื่อใช้ได้ จะได้เอาไปขาย น่าจะได้หลายสตางค์เลยนะ” มีคนชอบสะสมของเก่า ถ้ามันใช้งานได้ก็น่าจะได้ราคา “มีถ่านไหมล่ะในบ้าน ไปค้นมาลองก็ดีนะ” ฉันกับเด็กๆ มีความคิดตรงกัน เด็กสอง สามคนเลยวิ่งกลับเข้าไปด้านใน ไม่เกินสิบนาทีก็วิ่งหน้าตั้งกลับมาพร้อมกับถ่านในมือ ฉันที่ใช้เวลารอ เก็บกระดาษเก่าๆ นั่นลงลังกระดาษใบเดิม เลยได้มีเวลามองรูปถ่ายสอง สามใบนั่น “รูปแม่” ฉันยกรูปในมือขึ้นมองใกล้ๆ สมัยแม่สาวๆ สวยไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ ในรูปแม่ยิ้มสดใส แววตากระจ่าง ไม่เหมือนตอนนี้ แม่มีแววตาครุ่นคิดตลอดเวลา ผู้ชายในรูปหน้าตาดีเสียด้วย

editor-pick
Dreame - ขวัญใจบรรณาธิการ

bc

Dangerous Lover...รักอันตราย

read
1K
bc

สลับฟ้าพลิกชะตา

read
3.3K
bc

มลทินรักที่รักจำเป็น

read
2.0K
bc

ข้าไม่อยากเป็นฮองเฮา

read
1.3K
bc

ทะลุมิติกลับมาอยู่ที่เดิมยุค60

read
5.9K
bc

หวนรักชะตาร้าย

read
5.2K
bc

Depression มืดมน..ผม(อยาก)เข้าใจ

read
1K

สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook