“เข้าใจแล้วท่านอาเกา จากนี้ข้าจะระมัดระวังตัวเพิ่มขึ้นขอรับ”
“ดีแล้ว ที่ข้ายังไม่ไปพร้อมกับเจ้าเวลานี้ก็เพราะ หากเจ้าพาเราข้ามไปได้สำเร็จ เราต้องปกปิดเอาไว้ให้มิดว่ามนุษย์คนอื่นสามารถไปถึงที่นั่นได้ เราจะแอบข้ามไปตอนที่ไม่มีคนเห็นและเรื่องนี้ควรเป็นความลับที่รู้กันแค่พวกเราหกครอบครัวเท่านั้น” ประโยคสุดท้ายเกาโหลวหันไปกล่าวกับสหายที่เขาไว้วางใจ
“วันนี้รอให้ฟ้ามืดอีกสักนิดข้าค่อยกลับก็แล้วกัน ท่านอาทั้งหกคนเตรียมเสื้อผ้าไปค้างคืนที่นั่นสักคืนเถิด ข้าคงไม่พายเรือกลับมาส่งท่านยามค่ำคืนเป็นแน่”
ปากว่ากล้า ว่าอยากลองเสี่ยง แต่เมื่อได้รับคำเชิญให้ไปค้างคืนบนเกาะลอยจากเด็กหนุ่ม ชายฉกรรจ์ทั้งหมดก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำกันอยู่หลายอึดใจเลยทีเดียว
พอฟ้ามืดเรือสองลำกับแพขนส่งผลไม้ก็เคลื่อนตัวออกไปจากเกาะจิงเหมินอย่างเงียบเชียบ โดยมีบุรุษห้าคนซ่อนตัวนอนราบไปกับพื้นเรือร่วมทางไปกับสองพี่น้องสกุลมู่ด้วย
“ถึงไหนแล้วหลานชายหลานสาว” เกาโหลวกับสหายร้องถามออกมาเป็นรอบที่สิบด้วยความตื่นเต้น
“ครึ่งทางแล้วขอรับท่านอา อีกไม่นานก็ถึงแล้ว”
“หา!! ครึ่งทางแล้วหรือ? ข้างหน้าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าดูให้ดีเริ่มมีคลื่นใหญ่มีอะไรผิดปกติหรือไม่”
“ท่านอา พวกท่านลุกขึ้นมาดูกันเองก็ได้ เราออกห่างจากเกาะมาไกลแล้วไม่มีใครมองเห็นพวกเราแล้วล่ะเจ้าค่ะ" มู่เหยาจีหัวเราะร่วนกับท่าทางหวาดวิตกของท่านอาทั้งหลาย
“เราจะอ้อมไปทางด้านนั้นกันขอรับ จะไม่ได้ขึ้นที่ชายหาดบริเวณที่เราใช้เป็นประจำอย่างที่พวกท่านเห็น” มู่สี่เสินชี้ไปยังชายฝั่งอีกด้านหนึ่ง ในส่วนที่เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
“ข้ามองไม่เห็นสิ่งใดเลย” เกาโหลวลุกขึ้นมานั่งตัวตรง ชะเง้อมองตามมือของเด็กหนุ่มไป
“ดูเหมือนว่าเราเข้าใกล้เกาะลอยมากกว่าคราวก่อนแล้วนะ”
“ใช่ ใกล้มาก ใกล้กว่าเดิมเยอะเลย แต่เรายังปลอดภัยอยู่”
หัวใจที่แขวนเอาไว้สูงของชายฉกรรจ์ทั้งหกเริ่มลดลงมาเป็นปกติ พวกเขาไม่ได้เจอกับคลื่นลมแรง ไม่มีคลื่นใต้น้ำมาก่อกวนแม้แต่น้อย
การเดินทางของคนแปดคนบนเรือเล็กดูเหมือนจะราบรื่นและพวกเขายังรู้สึกอีกด้วยว่า มู่สี่เสินใช้แรงน้อยมากในการพายเรือ กระแสน้ำที่อยู่รอบเรือพัดพาเอาเรือและแพเข้าไปหาเกาะลอยได้อย่างง่ายดาย ต่างจากยามที่พวกตนพยายามเข้าใกล้เกาะลอยคนละเรื่อง
“ถึงแล้วเจ้าค่ะ” มู่เหยาจีกระโดดลงจากเรือขึ้นฝั่งไปเป็นคนแรก นางตื่นเต้นเหลือเกินที่จะได้รับบทเจ้าบ้าน ไม่เคยมีผู้ใดเหยียบย่างมาบนถิ่นของนางสักคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นบนแดนสวรรค์หรือที่เกาะลอยแห่งนี้
พวกเกาโหลวยังรู้สึกระแวงอยู่บ้าง พวกเขาใช้ขาข้างหนึ่งแตะพื้นทรายโดยที่ขาอีกข้างยังคงเหยียบอยู่บนเรือ ทำเช่นนั้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ เมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายแน่แล้วจึงได้กลั้นใจกระโดดออกจากเรือมายืนบนพื้นทรายเนียนละเอียด
"สหายของเหยาจีอยู่ที่นี่หรือไม่ พวกเจ้าหลบกันไปก่อน ข้าอยากได้กุ้งกับปูมาเป็นอาหารเลี้ยงแขกสักหลายตัวหน่อย รีบหลบไปให้ไกลๆ” มู่สี่เสินไม่ได้สนใจท่าทางยักแย่ยักยันของท่านอาทั้งหกคน เขาเร่งร้องตะโกนเรียกหาสหายตามกฎของน้องสาว
ชาวบ้านหกคนรู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาทันใด “เจ้าคุยกับใครหลานชาย!”
“ไม่มีอะไรขอรับท่านอา ข้าแค่จะจับกุ้งจับปู แต่ก่อนอื่นข้าต้องส่งสัญญาณบอกสหายของพวกเราก่อนก็เท่านั้น”
เด็กหนุ่มตอบคำถามเหมือนไม่ได้ตอบ เกาโหลวและพรรคพวกไม่เข้าใจอยู่ดี ผู้ใดคือสหาย? จะจับกุ้งจับปูก็ต้องส่งสัญญาณเช่นนั้นหรือ ดูเหมือนกฎของเกาะลอยน่าจะซับซ้อนกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้มากนัก
มู่สี่เสินเดินลุยน้ำไปข้างโขดหิน ครู่หนึ่งก็เหวี่ยงกุ้งตัวใหญ่ขึ้นฝั่งให้มู่เหยาจีรีบคว้าพวกมันเอาไปใส่ไว้ในตะกร้าผลไม้ได้สิบกว่าตัว เดินไปอีกมุมหนึ่งก็จับปูทะเลตัวเท่าต้นขาผู้ใหญ่อีก 5 ตัวมาขังไว้ในตะกร้า
“นี่!! นี่พวกเจ้าจับสัตว์น้ำกันด้วยวิธีนี้หรอกหรือ? ง่ายเช่นนี้เลยหรือ!” คนทั้งหกแทบอยากจะกัดลิ้นให้ตายไปเสียเดี๋ยวนี้ พวกเขาเป็นชาวประมงมาครึ่งค่อนชีวิต มีหรือที่จะจับกุ้งจับปูตัวเป็นๆ ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
“ง่ายเช่นนี้ล่ะเจ้าค่ะท่านอา พวกท่านเชิญทางนี้ วันนี้เราต้องนอนกันที่ก้อนหินตรงนั้นเจ้าค่ะ พวกเราไม่มีเรือน บางวันเราก็นอนในถ้ำ หากเบื่อๆ อยากนอนดูดาวเราก็มักจะหอบผ้ามานอนกันบนก้อนหินนี่ล่ะ”
มู่สี่เสินเดินนำทางท่านอาทั้งหกลัดเลาะแนวโขดหินเข้ามาถึงบริเวณชายเขาด้านหลัง ความมืดทำให้พวกเขามองไม่เห็นบรรยากาศโดยรอบได้ชัดเจนเท่าใดนัก
สุดท้ายก็ปีนป่ายกันขึ้นมาก่อกองไฟย่างปูและกุ้งกัดกินกันอยู่บนลานหินก้อนใหญ่จนอิ่มหนำ ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปเลือกโขดหินนอนแยกกันคนละทาง
……….
“ไม่น่าเชื่อว่าเราจะตื่นนอนตอนเช้าบนเกาะลอยแล้วยังมีลมหายใจกับร่างกายครบสมบูรณ์!” เกาโหลวหัวเราะเสียงดังลั่นเกาะ
“มาเลยหลานชาย เจ้าคิดจะสร้างเรือนที่ใดพาพวกเราไปดูสถานที่ก่อน”
“เราคิดจะสร้างเรือนที่ตรงนี้เลยขอรับท่านอาเกา"
“เอ๋! ใช่ว่าบนเกาะมีลำธารน้ำตกจากภูเขาไม่ใช่หรือ? หากสร้างเรือนใกล้น้ำ พวกเจ้าจะสะดวกสบายกว่าการอยู่ทางฝั่งทุ่งหญ้าโล่งแห่งนี้นะ”
“ที่นั่นเรามีถ้ำเดิมไว้ใช้พักผ่อนแล้วขอรับ ส่วนทุ่งหญ้าแห่งนี้ ข้าวางแผนจะทำการเพาะปลูกเพิ่มขึ้นในอนาคต ก็เลยคิดว่าสร้างเรือนไว้ที่นี่เสียเลยจะเหมาะกว่า เรือนนี้ข้าตั้งใจจะให้น้องสาวอยู่ ส่วนข้าอาจจะแยกไปนอนที่ถ้ำดังเดิม”
เกาโหลวพยักหน้าเข้าใจเจตนาของเด็กหนุ่ม มู่เหยาจีเติบโตขึ้นทุกวัน แม้พวกเขาจะเป็นพี่น้อง แต่เรื่องส่วนตัวบางประการก็ยังสมควรแบ่งแยกชายหญิง ภายหน้าเมื่อเหยาจีโตกว่านี้นางอาจจะรู้สึกอึดอัด
เกาโหลวและสหายของเขาตัดสินใจใช้ไม้ที่มีอยู่บนเกาะในการก่อสร้างและอยู่ค้างคืนบนเกาะต่ออีกสามวันเพื่อตัดต้นไม้มาเตรียมรอไว้
หลบมาช่วยกันสร้างเรือนห้าวัน กลับไปที่หมู่บ้านสามวัน พร้อมกับสั่งซื้อเครื่องเรือนให้สองพี่น้องสกุลมู่ไปด้วย สลับวนเวียนไปเช่นนี้ ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนการสร้างเรือนก็แล้วเสร็จ
มู่สี่เสินยัดเยียดเงินก้อนใหญ่ให้กับท่านอาทั้งหกคนเป็นค่าแรงจำนวนมาก มากจนชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ทุกคนถึงกับร้องไห้คร่ำครวญด้วยความซาบซึ้งใจเลยทีเดียว เพราะก่อนหน้านี้มู่สี่เสินก็เก็บผลไม้ชุดสุดท้ายบนเกาะไปฝากครอบครัวของพวกเขาโดยไม่คิดเงินไปไม่น้อย
“ข้ากับน้องสาวยังไม่รู้จะใช้เงินเพื่อทำสิ่งใดนอกจากการสร้างเรือนขอรับ เวลานี้เรามีเรือน มีเครื่องใช้ที่สะดวกสบายครบครัน ข้าสมควรตอบแทนพวกท่านให้สมกับที่พวกท่านทำเพื่อพวกเราเช่นกันขอรับ”
“ขอบใจนะหลานชาย แล้วจากนี้เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกันต่อ” เกาโหลวลอบปาดน้ำตาทิ้ง แล้วหันมาถามมู่สี่เสินจริงจัง
“ผลไม้ถูกเก็บเกี่ยวไปจนหมดสิ้นแล้ว ข้าต้องการแลกเปลี่ยนเงินทั้งหมดที่เหลือกับเสบียงอาหาร เตรียมพร้อมสำหรับหยุดยาวในฤดูหนาวขอรับท่านอาเกา”
“เรื่องการซื้อเสบียงอาหารน่ะข้าเป็นธุระให้ได้อยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะให้ภรรยาข้าคัดเลือกให้เองว่าสมควรสั่งซื้อสิ่งใดไปเก็บไว้บ้าง อีกสองวันเจ้าก็มารับเอาของไปได้เลย”
มู่เหยาจีหันไปยิ้มให้กับภรรยาของเกาโหลวอย่างมีเลศนัย นอกจากเสบียงอาหารแล้ว นางยังมีความต้องการข้าวของอื่นอีก และนางก็ได้ฝากความไว้กับภรรยาของเกาโหลว
อีกสองวันต่อมา สองพี่น้องก็มารับเอาเสบียงอาหารจำนวนมากกลับไป และจะเป็นการเดินทางออกจากเกาะลอยเป็นวันสุดท้ายก่อนที่จะหยุดการติดต่อกับคนภายนอกจนกว่าฤดูหนาวจะสิ้นสุด
พวกเขาใช้เงินทั้งหมดที่เหลือแลกเปลี่ยนเอาเสบียงอาหารทุกชนิดมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีตำราอีกกองใหญ่ตามคำขอร้องจากมู่เหยาจี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ นิทาน บันทึกการเดินทาง รวมทั้งตำราอาหาร มู่เหยาจีให้ภรรยาของท่านอาเกาโหลวกวาดเอาตำรามือสองมาจากชั้นวางสินค้าร้านหนังสือมาเกือบเกลี้ยงร้านเลยทีเดียว