ราชสำนัก
"เจ้าว่าอย่างไรนะ" เสียงเกรี้ยวกราดของฮ่องเต้ดังก้องทั่วท้องพระโรง ขุนนางน้อยใหญ่ต่างสะดุ้งตกใจ
"ข้าศึกใกล้เข้ามาประชิดชายแดนทางเหนือแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ชาวบ้านขาดแคลน ทหารไร้แม่ทัพขาดขวัญและกำลังใจพ่ะย่ะค่ะ" เสียงขุนนางรายงานสถานการณ์จากสารที่ได้รับมา
"ทางแม่ทัพใหญ่ตงเป็นเช่นไรบ้าง" ฮ่องเต้เอ่ยถาม
"ศึกทางตะวันออกยืดเยื้อแต่ใกล้จบลงแล้ว หากแต่ว่าตอนนี้สถานการณ์เร่งด่วนเกรงว่าแม่ทัพตงคงมาช่วยทัพไม่ทันพ่ะย่ะค่ะ"
"ศัตรูบุกล้อมทุกทางหากปล่อยไว้ไม่นานคงต้องเสียชายแดนเหนือชาวบ้านต้องลำบากยากเข็ญ" ฮ่องเต้ทำท่าครุ่นคิด
"ศึกครั้งนี้ข้าจะนำทัพเอง"
"ฝ่าบาทโปรดพิจารณาอีกทีเถอะพ่ะย่ะค่ะ //ฝ่าบาทโปรดพิจารณา" เสียงเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
........
ตำหนักกุ้ยเฟย
"ฝ่าบาททรงตรัสว่าเช่นไรนะเพคะ"
"ข้าจะนำทัพออกศึกทางเหนือสักระยะ" จวินเฟยหลงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบปกติซึ่งแต่งต่างกับเสียงของหญิงสาว
"แล้วแม่ทัพตงเหล่าเพคะ"
"ศึกทางตะวันออกยังยืดเยื้อ เกรงว่าแม่ทัพตงคงมาไม่ทัน"
"งั้นไม่สู้ให้หม่อมฉันเดินทางไปกับฝ่าบาทดีหรือไม่ หม่อมฉันจะได้ปลอบขวัญและกำลังใจชาวบ้านถือเป็นการแบ่งเบาภาระของฝ่าบาท" ผิงเอ๋อนวดเค้นเอาใจฮ่องเต้ (ฮึ ตงฟางหรงข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าแย่งตำแหน่งฮองเฮาไปจากข้าหรอก เจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ในตำหนักคนเดียวส่วนข้าจะรับหน้าที่ดูแลฝ่าบาท ไม่ช้าตำแหน่งฮองเฮาต้องเป็นของข้า) หญิงสาวยิ้มเจ้าเล่ห์ในความคิดของตนเอง
"ดีเป็นความคิดที่ดี"
"เพคะฝ่าบาท" ผิงเอ๋อยิ้มออกมาอย่างดีใจแผนการที่คิดไว้สำเร็จไปอีกขั้น
"งั้นข้าคงต้องไปบอกฟางหรงให้เตรียมตัวชาวบ้านมากมายหากให้เจ้าทำเพียงลำพังคงลำบากเจ้าเกินไป" ไม่ว่าเปล่าจวินเฟยหลงรีบร้อนลุกขึ้นออกจากตำหนักสนมผิงเอ๋อ
"เดี๋ยวก่อนเพคะฝ่าบาท" (ฮึ! ตงฟางหรงเจ้า)
......
"ว่าอย่างไรนะ ท่านจะให้ข้าติดตามท่านไปรบชายแดนทางเหนืออย่างนั้นหรือ" ตงฟางหรงอุทานเสียงดัง
"ใช่ เจ้ากับผิงเอ๋อต้องช่วยกันปลอบขวัญและกำลังใจชาวบ้านผู้ยากไร้ ตอนนี้ข้าได้ให้ทหารนำเสบียงล่วงหน้าไปก่อนแล้ว "
"ไม่ไป" เสียงใสของหญิงสาวเอ่ยปฏิเสธ
"ข้าไม่ได้มาขอความคิดเห็น ข้าแค่มาบอกให้เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมเท่นั้น" จวินเฟยลงลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ ไม่ว่าเขาจะพูดเรื่องอะไรหญิงสาวก็มักจะขัดเขาทุกอย่าง
"สนามรบไม่ใช่สนามรักของท่านเหตุใดต้องให้หญิงสาวติดตามท่านไปด้วยช่างไร้สาระจริงๆ"
"พวกเจ้ามีหน้าที่แจกจ่ายเสบียงและให้กำลังใจชาวบ้าน..นี้เจ้าคิดอะไรอยู่"
"หม่อมฉันไม่ได้คิดอะไรกับฝ่าบาทและไม่มีทางคิดด้วย หากแต่กุ้ยเฟยกับฝ่าบาทก็ไม่แน่"
"เจ้าไม่คิดอะไรกับข้าเช่นนั้นหรือ" น้ำเสียงที่ดูโมโหของชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้น
"เพคะ" (แล้วทำไมฉันต้องคิดอะไร)
"ได้..ไม่ได้คิดอะไร" จวินเฟยหลงสบถด้วยความโมโห
"เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับออกเดินทางพรุ่งนี้"
ตงฟางหรงได้แต่มองตามหลังของชายหนุ่มที่มาออกคำสั่งแล้วเดินหนีไปพร้อมกับส่ายหน้า (เผด็จการตัวพ่อชัดๆ)
...
เสียงกีบม้ากระทบพื้นดินกึกก้อง กองทัพหลวงของฮ่องเต้ช่างสง่างามน่าเกรงขาม
หญิงสาวแง้มม่านหน้าต่างรถม้าดูขบวนทัพหลวง ทหารม้ากว่าห้าพันนายพันนายพร้อมทั้งทหารราบอีกกว่าหมื่นนายเคลื่อนพลอย่างว่องไว ชาวบ้านมากมายต่างออกมาชื่นชมทัพหลวงพร้อมทำความเคารพตลอดสองข้างทาง
จวินเฟยหลงในชุดแม่ทัพนั่งอยู่บนหลังม้าช่างสง่างามน่าเกรงขาม สมดั่งคำที่ไต้ซีเอ่ยชมก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยน
ขบวนทัพหลวงเคลื่อนที่ผ่านหมู่บ้าน ภูเขา ทุ่งหญ้า วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ค่ำไหนนอนนั่น
"ทำไมเจ้ายังไม่นอน" ชายหนุ่มเอ่ยถามหญิงสาวที่กำลังเงยหน้ามองพระจันทร์อยู่
"เพคะ หม่อมฉันนอนไม่หลับ อีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงชายแดนเพคะ"
"จากที่นี่อีกห้าร้อยลี้"
(ห้าร้อยลี้ สองหมื่นห้าพันเมตร ยี่สิบห้ากิโลเมตร) หญิงสาวคิดในใจ
"งั้นก็ใกล้ถึงแล้ว"
"อืม ใกล้ถึงแล้ว" จวินเฟยหลงมองหน้าหญิงสาวที่ทำสีหน้าเป็นกังวล "ไม่ต้องห่วงเจ้ามีของอร่อยกินแน่"
"ใครเขาห่วงเรื่องกินล่ะ" ตงฟางหรงมองค้อนชายหนุ่ม
"ก็เจ้าไง"
"หม่อมฉันแค่อยากให้ถึงโดยเร็วสงสารชาวบ้านที่ยากไร้ป่านนี้คงรอเสบียงจากทางการ การเดินทางที่นี่ช่างยากลำบากและเป็นไปด้วยความเชื่องช้า เฮ้อ!" หญิงสาวคิดถึงภาพที่ตนเองนั่งอยู่บนรถ ไม่ก็เฮลิคอปเตอร์เวลาออกปฏิบัติการซึ่งใช้เวลาไม่นานก็ถึงที่หมายแล้ว ช่างแตกต่างกับตอนนี้ นั่งรถม้าจนตูดด้านหมดแล้วไม่ว่าเปล่าหญิงสาวยกมือขึ้นมาลูบก้นอย่างลืมตัว
จวินเฟยหลงหัวเราะกับท่าทางของหญิงสาว ช่างไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาซะเลย แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเขาคิดได้ว่าก่อนหน้าที่เคยเจอกับนางครั้งแรกนางเขินอายมากเพียงใด ช่างแตกต่างกับตงฟางหรงคนที่อยู่ตรงหน้าสิ้นเชิง
"เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าคือตงฟางหรงตัวจริง" ชายหนุ่มเผลอถามคำถามออกมา
"ทรงตรัสอะไรเพคะ หม่อมฉันนี่แหละตงฟางหรง ตัวจริงเสียงจริง" (แต่มาจากอนาคตนะ ฮ่าฮ่า)
"แล้วเราต้องทำศึกนานแค่ไหนเพคะ"
"เรื่องนี้ยากจะตอบได้ บางทีก็ไม่กี่เดือน บางทีก็เป็นปี หรืออาจจะนานกว่านั้น"
"ไม่สู้กันไม่ได้หรือเพคะ" หญิงสาวครุ่นคิด (ทำไมคนสมัยก่อนต้องฆ่ากันเพื่อแย่งชิงดินแดนด้วย แค่คิดก็สงสารเหล่าทหารไหนจะชาวบ้านตาดำๆ อีก แต่เธอก็เข้าใจต่อให้เราไม่ยกทัพไปบุกเขาก็ใช่ว่าเขาจะไม่มาสู้กับเรา)
ไม่ทันที่จะได้ตอบคำถามจวินเฟยหลงก็ตัดบทเสียก่อน
"เจ้าไปนอนเถอะดึกแล้ว"
"อืม ฝ่าบาทก็ทรงพักผ่อนได้แล้วเพคะ" ตงฟางหรงพยักหน้ารับเมื่อเห็นว่านี่ก็ดึกมากแล้วจริงๆ
ตงฟางหรงขึ้นมานอนพักบนรถม้า แม้ฮ่องเต้เคยสั่งให้ตั้งกระโจมให้หากแต่หญิงสาวสะดวกนอนแบบนี้มากกว่า สะดวกรวดเร็วไม่เพิ่มภาระให้คนอื่น
ในค่ำคืนที่มืดมิดเหน็บหนาว มีเพียงแสงของพระจันทร์ที่ลอดผ่านกลุ่มเมฆมาเป็นระยะเท่านั้น เสียงสะเก็ดไฟจากกองไฟข้างๆ ปะทุดังเป็นระยะ ทหารยามหลายนายเดินไปกลับรอบๆ รถม้า หญิงสาวคิดย้อนเมื่อครั้งที่เคยเข้าร่วมภารกิจกลางทะเลทราย (ได้นอนแบบนี้ถือว่าดีกว่านอนบนกองทรายเป็นไหนๆ) ตอนนี้หญิงสาวเคลิ้มหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า
กุกกัก..กุกกัก.. เสียงกุกกักดังขึ้นบนรถม้าที่หญิงสาวนอนอยู่
"อือ" เธอค่อยๆ ปรือตาขึ้นมาเห็นเงาดำปรากฏขึ้นในความมืด
"ใครนะ ปล่อยนะ"