“จ...เจ้า...นางปีศาจ” เสียงของชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่ยืนล้อมหนิงเหมยเอาไว้เอ่ยออกมาพลางชี้นิ้วมาทางซูเจิน “นางปีศาจจากที่ใด”
สตรีผู้ถูกเรียกว่านางปีศาจมิได้ตอบคำ นางเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเอียงหน้ามองเจ้าของประโยคด้วยสายตาคู่งามกะพริบปริบๆ แลดูน่ารักผิดกับฝ่าเท้าน้อยๆ ที่กำลังเหยียบย่ำคนตัวใหญ่จนชักกระตุก
“พวกเรา!” อีกเสียงหนึ่งจากสี่บุรุษตัวใหญ่คำราม “จัดการมัน!”
จบคำพวกชายใจหยาบก็พากันกรูเข้าใส่ซูเจินที่กำลังยืนทำตาใสมองอยู่
การต่อสู้แบบชายสี่รุมหญิงหนึ่งจึงบังเกิด
หนิงเหมยได้ทีรีบมองหาสิ่งของเพื่อเป็นอาวุธหมายจะเข้าไปช่วยหนึ่งสตรีที่กำลังชุลมุน
หนี่ม่านรีบหอบเสื้อผ้ารุ่งริ่งลุกขึ้นวิ่งมาหาเจ้านายของตน
“คุณหนู” หญิงสาวร้องไห้ปานขาดใจ นึกหวาดกลัวจับใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ตนเกือบจะถูกย่ำยี โชคดีเหลือเกินที่ชายชั่วตนนั้นยังไม่ทันได้ล่วงเกินนาง “คุณหนู...ฮือ” หนี่ม่านทรุดตัวลงบนพื้นดินนั่งร้องไห้โฮนึกโล่งใจเหลือเกิน
“ไม่เป็นไรหนี่ม่าน รีบช่วยกันหาอาวุธช่วยแม่นางคนนั้นเถิด” หนิงเหมยปลอบใจสาวใช้พร้อมหยิบไม้ขึ้นมาท่อนหนึ่ง
แต่ยังไม่ทันจะเอื้อมไม้ขึ้นเพื่อตีใคร สายตาคู่สวยของหนิงเหมยพลันชะงักก่อนจะตกตะลึงพรึงเพริด
ชายตัวใหญ่ทั้งห้าคนนอนตายเกลื่อนกลาด บางคนขาขาดบางคนหัวขาด สภาพอเนจอนาถดูไม่ได้
หนิงเหมยถึงกับยืนตัวเกร็งแข็งทื่อจ้องมองสตรีน่ากลัวที่ลำตัวเปื้อนเลือด นางเพ่งมองจนดวงตาคู่สวยของตนเบิกกว้าง
หนี่ม่านยิ่งร้องไห้โฮเมื่อเห็นไม่ต่างจากเจ้านาย
“หยุด!” ซูเจินตวาดหนี่ม่านที่กำลังร่ำไห้เสียงดัง
สาวใช้ตัวน้อยหุบปากฉับไว
ซูเจินกวาดสายตากลมใสมองไปทางบ่าวชายที่นอนสลบอยู่ไม่ไกลก่อนจะเดินเข้าไปที่บ่าวชายคนนั้นอย่างใจเย็น เมื่อเดินมาถึงตัวบ่าวชายนางเพียงยกเท้าเตะก้นบ่าวชายไปหนึ่งที
ผลที่ได้ทำให้บ่าวชายตื่นลืมตาขึ้นมาในบัดดล
สิ่งแรกที่บ่าวชายมองเห็นเมื่อลืมตาเขาถึงกับผวาทำท่าจะลุกขึ้นวิ่งหนี แต่ทว่ากลับถูกซูเจินกระทืบแผ่นหลังเสียงดังอั่ก
บ่าวชายถึงกับล้มลงหน้าไถพื้นดิน
“ป่ะ...ปล่อยข้าไปเถิด” บ่าวชายละล่ำละลักเอ่ยออกมา “ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรด”
“อันใดกัน?” ซูเจินทำหน้าใสซื่อพลางเอ่ย “ข้ายังมิได้ถามอะไรเลย เจ้าจะรีบร้อนสารภาพไปไย”
ประโยคนั้นทำเอาหนิงเหมยและหนี่ม่านตัวชาวาบ
“หมายความว่าอย่างไร?” หนิงเหมยถามเสียงเบาไปทางบ่าวชายที่กำลังคุกเข่าขอชีวิต
บ่าวชายรีบคลานเข่ามาทางหนิงเหมยแล้วเอ่ยอย่างร้อนรน “คุณหนูขอรับ หากบ่าวสารภาพจะปล่อยบ่าวไปได้หรือไม่ขอรับ”
หนิงเหมยกะพริบตาปริบๆ จ้องมองหน้าบ่าวชายนิ่งงัน เพียงครู่จึงถอนสายตาออกจากบ่าวชายมองไปยังสตรีน่ากลัวทางด้านหลังของบ่าวชาย
“ย่อมได้” ซูเจินตอบรับอย่างอารมณ์ดี นางอมยิ้มน้อยๆ มองดูแล้วคล้ายสาวน้อยไร้เดียงสา
หนิงเหมยจึงพยักหน้าให้บ่าวชายหนึ่งทีเป็นเชิงตกลงว่าจะไว้ชีวิตและให้อภัยหากสารภาพออกมา
บ่าวชายรีบโขกหัวกับพื้นดินพลางเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “เป็นคำสั่งฮูหยินรองขอรับ นางต้องการให้คุณหนูใหญ่ถูกย่ำยีไม่มีหน้ากลับเข้าบ้านขอรับ”
แน่นอนว่าหนิงเหมยเข้าใจได้ไม่ยาก นางเองก็สงสัยตั้งแต่ชายทั้งห้าคนโผล่หน้ามาแล้ว
หญิงสาวจึงทำได้เพียงหลับตากลืนความอัปยศลงคอ อึดใจนางจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเพื่อหมายจะทำตามคำที่บอกกล่าวแก่บ่าวชายว่าจะไว้ชีวิต แต่ยังมิทันได้เอื้อนเอ่ยอันใด เสียงดังกร๊อบคล้ายกระดูกหักพลันดัง ตามด้วยเสียงร้องโหยหวนคล้ายสุนัขหอน
หนิงเหมยผงะไปอีกครา หนี่ม่านก็เช่นกัน
บ่าวชายตรงหน้าของสตรีทั้งสองถูกหักแขนหักขาและหักคอภายในเวลาชั่วอึดใจ
“เจ้า” หนิงเหมยเอ่ยเรียกสตรีผู้หักทุกส่วนของบ่าวชาย
ซูเจินยังคงทำตาใสซื่อ “สัจจะย่อมไม่มีในหมู่โจร” นางเอ่ยแค่นั้นพร้อมกะพริบตาปริบๆ แลดูน่ารักเหลือเกิน
หนิงเหมยกับหนี่ม่านกะพริบตาปริบๆ ตอบรับนิ่งอึ้ง
ซูเจินยกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินขึ้นไปในรถม้าคล้ายกับมิได้ทำอันใดทั้งนั้น
สองสตรีที่ยังยืนตะลึงได้แต่มองตามสตรีที่เคยบาดเจ็บนิ่งงันทำอันใดไม่ถูกทั้งสิ้น
“จะยืนรอทำศพเจ้าพวกนั้นรึ?” เสียงใสๆ ดังออกมาจากในรถม้า
หนิงเหมยและหนี่ม่านมองหน้ากันไปมาก่อนจะเบนสายตาไปมองศพชายตัวใหญ่ที่นอนตายอเนจอนาถเกลื่อนกลาดน่าเกลียดน่ากลัว กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งน่าสะอิดสะเอียด
ทั้งสองพยายามฝืนตัวเองมิให้อาเจียนออกมา ก่อนจะพากันรีบประคองกันและกันปีนขึ้นรถม้าอย่างเร็วเมื่อเริ่มตระหนักได้
ภายในรถม้าที่หนึ่งเจ้านายหนึ่งสาวใช้และหนึ่งสตรีบาดเจ็บนั่งอยู่ ทั้งสามนั่งมองหน้ากันไปมาอย่างไม่อาจเอื้อนเอ่ยวาจาใด
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป
รถม้ายังคงจอดนิ่งอยู่กับที่ เมื่อหนี่ม่านเปิดผ้าม่านรถม้าออกดูก็ยังคงเห็นศพชายฉกรรจ์นอนตายอยู่
“เหตุใดรถม้าไม่ขยับ?” สาวใช้หนึ่งเดียวถามออกไป
“แล้วใครบังคับรถม้า?” ซูเจินถามออกมาอีกคน
“เขาตายแล้วมิใช่หรือ?” หนิงเหมยตอบให้ทุกคน
สตรีทั้งสามเงียบงันอีกครา
อึดใจต่อมาเสียงถอนหายใจจึงบังเกิดอย่างพร้อมเพรียง
ทั้งสามมองหน้ากันอีกครั้ง
หนี่ม่านเริ่มหัวเราะพรืดออกมาก่อน หนิงเหมยเห็นอย่างนั้นจึงเริ่มยิ้มตาม ซูเจินเริ่มหัวเราะออกมาบ้าง
“เจ้าคงไม่ฆ่าเราใช่หรือไม่?” เสียงนี้เป็นเสียงของหนี่ม่าน นางแน่ใจว่าอย่างนั้นจึงถามออกไป เพราะสตรีน่ากลัวนางนี้ช่วยตนเอาไว้จากการถูกย่ำยี
“ข้าไม่ชอบฆ่าใครหรอก” ซูเจินกล่าวคำด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
หนิงเหมยกับหนี่ม่านมองหน้ากันก่อนจะส่งสายตามาทางซูเจินด้วยความหมายว่า ไม่เชื่อเด็ดขาด!
ซูเจินหัวเราะพรืด
ครานี้สตรีทั้งสามหัวเราะออกมาเสียงดัง
เสียงหัวเราะสดใสของเหล่าสตรีเกิดขึ้นอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้จนพาให้บรรยากาศวังเวงท่ามกลางซากศพพลันเปลี่ยนไป