9 โถงรับงาน

1687 คำ
โถงรับงาน บนกระดานไม้แผ่นใหญ่มีกระดาษถูกติดไว้อยู่มากมายหลายร้อยแผ่น เรียงอย่างเป็นระเบียบ ด้านในมีศิษย์สำนักนอกและศิษย์สำนักในเดินอยู่หลายสิบคน กึ่งกลางมีโต๊ะยาวเป็นครึ่งวงกลม มีเจ้าหน้าที่สองคนนั่งคอย คนที่สนใจรับงานดึงกระดาษแล้วไปแจ้งสถานะของตนและรายละเอียดของงาน “มีงานมากมายจริงๆ” “แน่นอน เจ้าดูสิแต่ละระดับแถวก็จะมีความยากง่ายต่างกัน ทั้งค่าตอบแทนก็เพิ่มมากขึ้นตามระดับที่สูงขึ้นไป เจ้าดูมันมีทั้งหมดเก้าชั้น แถวล่างสุดง่ายที่สุดและแถวที่เก้าหรือชั้นบนสุดคืองานที่ยากที่สุด” “คนในโถงเหล่านี้คือศิษย์ที่มาเพื่อรับภารกิจหรือเจ้าอ้วน” “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วนะว่าเวลาออกมาข้างนอกต่อหน้าผู้คนให้เรียกชื่อข้า ชิ” “หลีเหยียนฉือ สุดหล่อ พอใจหรือยัง” “ค่อยยังชั่วหน่อย แน่นอน เจ้าดูด้านหลังเจ้าสิ นั่นเป็นกระดานรายชื่อศิษย์ที่สามารถทำภารกิจที่โดดเด่นสิบอันดับแรกของสำนักเรา หมายความว่าถ้าเจ้ามีฝีมือนอกจากได้รางวัลแล้วยังมีโอกาสให้คนอื่นๆในสำนักรู้จักพูดง่ายๆคือวิธีสร้างชื่อเสียงให้ตนเองอย่างไงหล่ะ” “อ่อ” “เดี๋ยว ฟ่านหงอี้เจ้าหยุดให้ข้าเดี๋ยวนี้ เจ้าจะไปไหน” ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาเดินลงบันไดโถงรับงานมีชายหนุ่มอ้วนกลมวิ่งตามหลังเป็นภาพที่น่าสนใจของศิษย์ที่อยู่ในบริเวณนั้นไม่น้อยทีเดียว เมื่อเขาหยุดลงก็แทบล้มคว่ำไปข้างหน้า เพราะเจ้าอ้วนวิ่งทุ่มเข้ามาเต็มหลังโดยไม่ได้ชะลอความเร็วลงแม้แต่น้อย “เจ้าชนข้าทำไม” “ก็เจ้าหยุดทันทีข้าหยุดไม่ทัน เจ้ารับงานเป็นเพื่อนข้าหน่อยไม่ได้หรือ” “เพื่อสิ่งใด ข้าอยู่เรือนทบทวนวิชาไม่ดีกว่าหรือ ข้าไม่อยากออกไปนอกสำนัก” “แต่ข้าอยากออกไป ได้โปรด” “เจ้าเองก็มีฝีมือไม่น้อย สามารถรับภารกิจโดยลำพังได้เหตุใดต้องให้ข้าไปร่วมภารกิจกับเจ้า” “ฮี่ฮี่ ข้าจะถือโอกาสที่เจ้าไปทำภารกิจ แวะทำธุระระหว่างทางนิดหน่อย” “เจ้านี่มัน ไม่ เจ้าไปคนเดียวเถอะ” “ฟานหงอี้ หากเจ้ายินดีไปด้วยรับรองได้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเลยที่ข้าจะให้เจ้าช่วยเช่นนี้” “เจ้าแน่ใจ” “แน่ใจ สาบานด้วยเกียรติของข้าเลย” ทั้งสองเดินกลับเข้าไปเพื่อเลือกภารกิจ โดยเงื่อนไขการคัดเลือกภารกิจคือหนึ่งระดับหนึ่งถึงสามสำหรับศิษย์ที่ทำภารกิจเพียงลำพัง ระดับที่สี่และห้าทำสองคน หกและเจ็ดสามารถทำสามคนได้ สุดท้ายระดับแปดและเก้าสำหรับกลุ่มสามคนขึ้นไป ยกเว้นคนที่มีรายชื่อสามอันดับแรกของเดือนจะสามารถเลือกทำภารกิจระดับที่สี่ขึ้นไปโดยลำพังได้ทุกภารกิจ “เจ้าเข้าไปเลือก” “วางใจได้ ข้าจัดการเอง” ทั้งสองกลับมาที่นั่งที่โต๊ะหินหน้าเรือนของฟ่านหงอี้ เพื่อคุยเรื่องรายละเอียดของภารกิจ บนโต๊ะมีซองกระดาษสีเหลืองตัวอักษรสี่ดำ (ระดับหก) คิ้วบนใบหน้าของฟ่านหงอี้ขมวดขึ้น นี่เขามองตัวอักษรบนซองผิดไปหรือไม่ เหตุใดเจ้าอ้วนเลือกภารกิจระดับหกแทนที่ควรจะเป็นระดับสี่สำหรับคนสองคนมากันนี่ “เจ้าอ้วน ข้าตาลายหรือไม่เหตุใดอักษรหน้าซองจึงระบุว่าระดับหกแทนที่จะเป็นระดับสี่” “เจ้าไม่ได้ตาลาย ข้าเลือกระดับหกมาจริงๆ” “ทำไมถึงเป็นระดับหก พวกเราคุยกันแล้วไม่ใช่หรือครั้งนี้ทำเพื่อออกไปนอกสำนักเท่านั้นจะเลือกงานที่มีระดับง่ายๆเช่นระดับสี่เท่านั้น เจ้าพูดมาไม่เช่นนั้นเจ้าไปคนเดียว” “คือว่า ระยะเวลาในการออกไปทำภารกิจมันแตกต่างกัน หากเป็นระดับหกสามารถออกไปได้ถึงสิบห้าวันส่วนระดับสี่อนุญาตให้ออกไปได้เพียงสิบวันเท่านั้น ข้า..ข้า” “เจ้านี่มันเหลือเกินจริงๆ แล้วที่นี้จะทำอย่างไร นี่เป็นครั้งแรกเจ้าก็คิดว่ามันง่ายหรือไร” ระหว่างที่ทั้งสองยังโต้เถียงกันอยู่นั้น ด้านนอกรั้วมีคนมาหยุดยืนฟังก่อนที่จะตัดสินใจเคาะที่รั้วเป็นสัญญาณให้ทั้งสองหันไปสนใจ “ขอโทษ ไม่ทราบว่าพวกท่านยังต้องการคนเข้าร่วมกลุ่มเพื่อทำภารกิจด้วยหรือไม่” ทั้งสองจึงมองบุคคลที่ก้าวเข้ามาในเขตเรือนด้วยสายตาพิจารณาก่อนที่จะลองสอบถามเพื่อตัดสินใจว่าควรรับเป็นผู้ร่วมกลุ่มทำภารกิจด้วยกันหรือไม่ “เจ้าคือ?" “ข้า เหวินปิงฉี เป็นศิษย์ที่เข้ามาพร้อมกับพวกเจ้าอาศัยอยู่อีกสามเรือนถัดไป บังเอิญเดินผ่านมาได้ยินพวกเจ้าคุยกัน(เสียงดังออกไปไกล) จึงเดินมาสอบถามเดิมทีข้าก็อยากทำภารกิจเพื่อฝึกปรือฝีมือทั้งสร้างประสบการณ์ด้วยเพียงแต่ยังใหม่ต่อสำนักและไม่มีสหาย” “เจ้าใช้สิ่งใดเป็นอาวุธ” “ข้าใช้ดาบและไฟเป็นพลังวิญญาณ” “โอ้ ดีเลยข้าหลีเหยียนฉือ ใช้ดาบและลมเป็นอาวุธ” “ข้าฟ่านหงอี้ ใช้กระบี่และสายฟ้าเป็นอาวุธ” “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะรีบไปเพิ่มชื่อของเจ้าเข้าไปในภารกิจครั้งนี้ พวกเจ้าคุยกันไปก่อนข้ารีบไปจะรีบมา” วันรุ่งขึ้นทั้งสามคนลงจากเขาโดยแสดงหนังสือรับภารกิจแสดงตัวตนก่อนจะรีบเร่งเดินทางด้วยเท้า ผ่านไปครึ่งวันหลีเหยียนฉือก็บอกว่าพรุ่งตนจะแยกออกจากกลุ่มให้ทั้งสองเดินทางล่วงหน้าไปก่อนสามวันให้หลังจะรีบตามไปให้ทัน กำหนดการเริ่มภารกิจคือวันที่หก “เจ้าจะแยกไปไม่ใช้ปัญหา แต่ว่าข้าเปิดดูภารกิจเหตุใดบอกเพียงปลายทางที่จะทำภารกิจเหตุใดไม่มีรายละเอียด” เจ้าอ้วนเอามือตบที่ศรีษะเบาๆ ก่อนที่จะเอ่ยด้วยเสียงสำนึกผิดว่า “ข้าลืมบอกพวกเจ้าไป ภารกิจระดับหกขึ้นไปการบอกรายละเอียดจะบอกตามลำดับคือจุดหมายปลายทาง เมื่อเดินทางไปถึงจึงจะบอกขั้นตอนต่อไป” “หลีเหยียนฉือ หากข้าไม่ถามเจ้าคงจะลืมจนพวกข้าเดินทางไปถึงใช่หรือไม่ เจ้ามาให้ข้าจัดการเจ้าเชียว” ฟ่านหงอี้ มองสหายทั้งสองคนวิ่งไล่กันไปอย่างอารมณ์ดีการมีสหายร่วมทางก็ดูมีสีสันมากกว่าครั้งที่เขาเดินทางคนเดียวมากนัก “เจ้าสองคนไปกับข้าสิ เสียเวลาสองวันไม่ทำให้ภารกิจล่าช้าแน่นอน” “เจ้าจะไปไหน พวกข้าไปกับเจ้าได้หรือ” “ได้สิ ไปหลายคนสนุกดี” “สนุก หมายความว่ายังไงเจ้าอ้วน เจ้าบอกว่าเป็นธุระสำคัญจำเป็นต้องมาให้ได้ แล้วตอนนี้บอกว่าสนุก มันคืออะไรกันแน่” “เอ่อ ข้าจะชวนทั้งสองคนให้หยุดแวะด้วยกัน หอหว่านชุย” “เจ้าอ้วนเจ้ารับภารกิจระดับหกเพื่อมาแวะเที่ยวสถานเริงรมย์เนี่ยนะ” “สถานเริงรมย์” “ใช่” ฟ่านหงอี้กับเหวินปิงฉีสองคนทิ้งเจ้าอ้วนหลีเหยียนฉือทันทีที่รู้เป้าหมายของอีกฝ่าย เมื่อทั้งสองคนถึงจุดหมายสำหรับการทำภารกิจ ข้อความปรากฏให้เห็นเป็นแถวอักษรสีแดงตัวใหญ่ ที่เห็นแล้วลมแทบจับ “ให้ช่วยชีวิตอสูรเขี้ยวแก้ว(อสูรขั้นสาม) แล้วนำกลับมาสำนักแบบมีชีวิต” เมื่อเขาอ่านออกมาด้วยเสียงอันดัง สหายที่ยืนอยู่ด้านข้างหน้าซีดประหนึ่งกำลังจะเป็นล้มหมดสติเสียเดี๋ยวนั้น พวกเขาสามคนรวมกันยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถต่อสู้กับอสูรระดับสามได้เลยด้วยซ้ำ แล้วคำว่าช่วยเหลือหมายความว่าอีกฝ่ายอาจมีระดับที่สูงกว่า(สูงกว่าเท่าไหร่ก็ไม่รู้) “นี่มันภารกิจบ้าอะไร แน่ใจนะว่าระดับหก เจ้าอ้วนนั่นหาเรื่องแล้วหายหัวไปคลุกอยู่กับสตรี” อีกฝ่ายส่งเสียงโวยวาย(อยู่ใกล้หมีกดำเช่นหมึก) จากคนสุภาพเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้แล้ว “ให้ช่วยอสูรระดับสาม บ้าไปแล้วภารกิจเช่นนี้ไม่ใช่ระดับหกแล้วกลับไปข้าต้องร้องเรียนแน่นอน ระดับเก้ายังดูจะน้อยไปด้วยซ้ำ” เดินบ่นวนเวียนระหว่างรอเจ้าอ้วนตามมา ในมือเอาดาบฟาดฟันต้นไม้ใบหญ้ารอบๆระบายอารมณ์ไปพลาง “ข้าว่าพวกเราลองเดินดูบริเวณรอบๆ แถวนี้ก่อนไหม อย่างน้อยก็อาจใช้เป็นทางหนียามจำเป็นได้ หรืออาจจะมีแหล่งน้ำก็ได้” “ก็ดีให้รอแบบนี้ข้าหงุดหงิด ว่าแล้วก็อยากทุบเจ้าอ้วนเหลือเกิน” “ข้ายังไม่เคยพบอสูรเลยเจ้าลองเล่าให้ฟังหน่อยสิว่าเป็นอย่างไร” “อสูร คือสัตว์ที่มีพลังเวทย์ตามชนิดของมัน ปกติจะออกเป็นห้าระดับ ยิ่งระดับสูงยิ่งแข็งแกร่ง หากเหนือสัตว์อสูรขึ้นไปก็สัตว์เทพ แต่เป็นเพียงตำนานเล่าลือยังไม่เคยมีผู้ใดพบเห็น นอกนั้นยังมีลูกผสมอีกนะเอาไว้พวกเราฝึกฝนมากกว่านี้อาจจะมีโอกาสได้เจอก็ได้นะ” “อืม” ฟ่านหงอี้ ส่งเสียงรับในลำคอเขานึกถึงคนผู้หนึ่ง นางจัดเป็นสิ่งใดกันนะ เป็นสัตว์อสูร สัตว์เทพ หรืออย่างอื่น สองคนเดินสำรวจไปเรื่อยๆ ต้นไม้และใบไม้ขนาดของมันแตกต่างจากต้นไม้ทั่วไปสีสันจัดจ้าน บ้างเข้มเขียวจัดแดงจัดส้มจัด บ้างก็ซีดจาง บางใบคมจนไม่ระวังสามารถทำเสื้อผ้าที่สวมอยู่ได้ขาดเป็นรอยยาว ห่างไปไม่ไกลนักมีเสียงดังโครมคราม ดูเหมือนกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขาสองคนต่างหันหน้ามองกันก่อนจะพุ่งตัวไปหลบหลังต้นไม้ด้านข้างที่ดูแข็งแรงมั่นคงพอให้ป้องกันอันตรายได้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม