ฝ่ายตรงข้ามมองดูก็รู้ว่าไม่ใช่ชาวบ้านหรืออันธพาลทั่วไป ทุกคนต่างมีพลังฝีมือและอาวุธวิเศษ ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไรฉับพลันภาพทุกอย่างก็หยุดการเคลื่อนไหวมีเพียงเสียงรองเท้าที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนหยุดลงข้างศรีษะเขา ก่อนที่จะได้เงยหน้าขึ้นมอง ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยและแสนคิดถึง
“ข้าสอนให้เจ้าทนให้ผู้อื่นรังแกหรือ หือ ที่ข้าสอนไว้เจ้าทำมันหล่นหายไปไหนหมด”
“ข้า ข้ายัง”
“ยังอะไร รีบๆ จัดการซะอย่าทำตัวกระจอกแบบนี้”
ภาพทุกกลับมาเหมือนเดิม รองเท้าคู่นั้นก็หายไป แต่เขามั่นใจว่าเป็นเสียงของนางแน่นอน ก่อนที่คนทั้งกลุ่มจะลงมือซ้ำ เขาใช้มือยันพื้นดีดตัวเองขึ้นมา
“มันยังลุกไหว จัดการมัน”
“เจ้าทุบตีข้า งั้นก็รับคืนกลับไปบ้างแล้วกัน”
คนที่ทุบตีออกหมัดออกศอกใช้มือใช้เท้าประเคนบนร่างเขา หากเขาไม่เอาคืนเสียหน่อยก็จะรู้สึกเสียเปรียบจึงได้ค่อยๆ ตอบแทนให้อย่างเท่าเทียมกันได้ทั้งหมัดทั้งศอกตามร่างกาย ชายหนุ่มร่างใหญ่แปดคนลงไปนอนกับพื้นร้องโอดโอยนี่เป็นการเสียหน้าอย่างยิ่ง พวกมันพยายามลุกขึ้นหันไปประคองคนด้านข้าง หนึ่งในนั้นยังยกมือชี้หน้าเขา
“เจ้า ระวังตัวไว้เถอะ”
คนรอบข้างที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นแต่ไม่กล้าเสี่ยงเข้ามาช่วยด้วยกลัวจะมีปัญหากับคนกลุ่มนี้ได้แต่ร้อง “ดี” ด้วยความสะใจก่อนจะเงียบเสียงไปเสมือนไม่เคยมีส่วนร่วมตะโกนออกมา
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมคนเหล่านั้นถึงลงไปนอนร้องได้”
“เจ้าต้องไม่เชื่อแน่ ชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนจัดการคนเหล่านี้ เจ้าดูเขาสิเต็มไปด้วยฝุ่นและเลือดเขาถูกรังแกคนมากรังแกคนน้อย กลับกลายเป็นถูกทุบตีเสียเอง สมน้ำหน้าคนพวกนี้”
คนที่เดินมาที่หลังหรือไม่ได้สนใจเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ย่อมไม่รู้เรื่องไม่ได้เห็นภาพการลงมือย่อมต้องรู้สึกประหลาดใจมาก คนหลายคนสู้คนๆเดียวไม่ได้
“ทำได้ไม่เลว แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย”
เสียงเบาๆที่มาตามลมแต่เขาได้ยินชัดเจน ยิ่งทำให้แน่ใจว่าไม่ได้หูแว่วไปแน่นอน ฟ่านหงอี้พยายามที่จะใช้จิตติดต่อกับมังกร(จอมทะนงตน ที่แสนจะหลงตัวเอง)
ท่านอยู่ที่ใด ข้าอยากเจอท่าน
เจ้าทำได้ไม่ดีนักในครานี้ หากเจ้าทำได้ดีกว่านี้ค่อยว่ากัน อย่าลืมข้าเฝ้าดูเจ้าอยู่
“น้องชายเมื่อครู่เจ้าต้องการสมัครเข้าสำนักเราใช่หรือไม่”
“ใช่ขอรับ”
“มากรอกรายละเอียดที่โต๊ะเถอะ ดูแล้วเจ้าก็มีฝีมือพอตัวหากผ่านการคัดเลือกเข้าสำนัก ไม่แน่อาจได้รับเลือกเป็นศิษย์ในหรือศิษย์เอกของเจ้าหุบเขาก็ได้ มาสิ”
ศิษย์ที่ทำหน้าที่รับสมัครศิษย์ใหม่แต่เดิมก็เริ่มเบื่อหน่ายงานนี้ แต่ละปีศิษย์ก็รับได้น้อยลงทุกปีดูอย่างปีนี้นั่งอยู่สิบกว่าวันมีคนมาสมัครไม่กี่สิบคน ไม่รู้คัดแล้วจะเหลือสักกี่คน
แต่เมื่อครู่เพราะการต่อสู้ของฟ่านหงอี้ทำให้ดึงดูดความสนใจพวกเขาหากรับศิษย์ที่มีฝีมือย่อมเป็นเรื่องที่ดีกับสำนัก นี่เป็นโอกาสได้คนเก่งย่อมต้องรีบชักชวนไว้ก่อน
“เดี๋ยว มาสมัครสำนักหานจงของพวกข้าดีกว่า เจ้าดูพวกเรามีสง่าราศีดีกว่า มีเงินมีทองใช้ทั้งเป็นที่นับหน้าถือตากว่าสำนักอื่น ที่นับวันจะเล็กลง ความรุ่งเรืองถดถอยลงทุกวัน”
“นั่นสิ มาทางนี้กับพวกข้าดีกว่า”
มีชายสองคนแต่งตัวโดดเด่นมองดูผ้าเนื้อดีราคาแพงกว่าคนที่ยืนอยู่ สัญลักษณ์บนเครื่องแต่งกายก็บ่งชี้ได้ว่าเป็นคนสำนักหานจงแน่นอนกลุ่มคนที่ยืนอยู่มองเห็นก็พากันหลีกทางให้ทั้งสองเดินเข้ามาใกล้
“ข้าสองคนคือศิษย์สำนักหานจง ทางที่ดีเจ้าควรเปลี่ยนใจมาเลือกสมัครกับสำนักหานจงของเราดีกว่า”
ทั้งสองเดินเข้ามาประชิดด้วยท่าทางบีบบังคับให้เดินไปด้วยกัน
ส่วนศิษย์ของสำนักฉู่อวี้ แม้จะไม่พอใจแต่ก็พยายามข่มอารมย์เก็บอาการเอาไว้แม้จะรู้สึกเสียดายหากชายหนุ่มที่โดดเด่นเช่นนี้จะถูกชักชวนไป ระหว่างที่ผู้คนไม่ได้สนใจกลุ่มคนที่นอนร้องอยู่บนพื้นได้โอกาสแอบค่อยๆหลบหนีออกไปจากบริเวณนั้นจนหมด
“ขอบคุณ ตั้งแต่เข้าเมืองมาข้าก็หาข้อมูลมาพอสมควร และได้ตัดสินใจเลือกสมัครเข้าสำนักฉู่อวี้ หากไม่ผ่านการคัดเลือกก็ไม่เสียใจ ขอบคุณท่านทั้งสองเป็นอย่างมากที่ชักชวนข้า"
“ชิ น่าเสียดาย ข้ากับศิษย์พี่หลูอุตส่าห์สนใจเจ้าแท้ๆ”
“พวกเราไป”
หลูปิงรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมากที่ไม่ได้รับความสนใจ นี่เป็นครั้งแรกที่มันออกหน้าชวนคนเข้าสำนักแต่กลับถูกปฏิเสธท่ามกลางผู้คนไม่น้อย ความอายในครั้งนี้เขาจะจดบัญชีไว้ก่อนอย่าได้มีโอกาสเชียวนะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเมื่อมีฝ่ายที่จากไปย่อมต้องเป็นโอกาสของฝ่ายที่ยืนอยู่แน่นอน ฟ่านหงอี้หันไปหาศิษย์ของสำนักฉู่อวี้ เขียนรายละเอียดเพื่อสมัครเข้ารับการทดสอบระหว่างนั้นเขาก็ได้ยินเสียงราวกับว่าคนพูดกระซิบอยู่ข้างหู
“เสี่ยวอี้…สิ่งที่ข้าเคยสอนเจ้าต้องทบทวนให้มาก จำไว้ข้าไม่เคยแพ้ใคร อย่าทำให้เสียชื่อข้า”
ได้ขอรับข้ารับปากท่านไม่ว่าเมื่อไรก็ตามข้าจะไม่ยอมแพ้ใคร จะต้องแข็งแกร่งให้มากขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นอีกสิบวันหลังจากได้รับการทดสอบก็เป็นไปดังที่ศิษย์พี่ทั้งสองที่เป็นผู้รับสมัครคาดเดา ฟ่านหงอี้ผ่านการคัดเลือก เขาเริ่มฝึกฝนที่หุบเขาหยาซานศิษย์ใหม่ทุกคนไม่เว้นแม้แต่ศิษย์สำนักในต้องผ่านการเรียนสิ่งที่เป็นพื้นฐานของสำนัก
สถานที่เรียนเรียกว่าโถงศึกษากลาง มีกำหนดเวลาให้ศิษย์สำนักในร่วมเรียนเป็นเวลาหกเดือนก่อนจะกลับเข้าสำนักในและช่วงหกเดือนนี้ศิษย์ใหม่สามารถทดสอบฝีมือติดหนึ่งในสิบอันดับแรกสามารถเลื่อนเป็นศิษย์สำนักในได้ทันที หากไม่สามารถทำได้ก็เล่าเรียนต่อจนครบปีค่อยเข้ารับการทดสอบอีกครั้งว่าสามารถเลื่อนระดับเข้าไปได้หรือไม่
ฟ่านหงอี้ไม่ต้องการแสดงตัวให้โดดเด่น เข้าร่วมอยู่ในกลุ่มศิษย์ใหม่เขาวางแผนจะเลื่อนระดับพร้อมกับสหายในรุ่นเดียวกันเมื่อครบปี สิ่งที่ติดค้างในใจคือจนบัดนี้เขาก็ยังไม่รู้สาเหตุที่ทำให้อันธพาลเหล่านั้นรุมทำร้ายตน
เรือนพักอาศัยแบ่งแยกชายหญิง ที่พักมีบริเวณด้านหน้า มีรั้วบ่งบอกอาณาเขตชัดเจน เรือนพักหนึ่งชุดพักรวมกันสี่คนสี่ห้องนอนของใช้บางอย่างใช้ร่วมกัน
“ฟ่านหงอี้ เจ้าตื่นหรือยัง”
“ตื่นแล้ว รอสักครู่”
ชายหนุ่มร่างอ้วนกลมยืนยิ้มเพล่ เป็นสหายเพียงคนเดียวที่คบหากันและเป็นตัวป่วนที่จริงใจในสายตาของฟ่านหงอี้ อีกฝ่ายถือพัดในมือพัดไปมาเบาๆทั้งๆที่อากาศไม่ได้ร้อนสักนิด อีกฝ่ายเคยบอกว่าที่ทำเช่นนี้เพราะช่วยทำให้ภาพลักษณ์ดูเป็นคุณชายที่มีความรู้สาวๆจะได้สนใจตนเท่านั้นเองตอนที่ได้ยินตนเองถึงกลับมองบนเล็กน้อยนี่เขาหลวมตัวคบเป็นสหายได้อย่างไร
“มีอะไรอีก หลีเหยียนฉือวันนี้พวกเรามีเรียนยามเวยมิใช่หรือ”
“ถูกต้องๆ ยามเวย แต่ว่าข้าจะชวนเจ้าไปหาเรื่องสนุกๆ ทำไงสนใจหรือไม่”
“เจ้าบอกมาก่อนว่าทำอันใด ครั้งก่อนเจ้าก็พาข้าไปหาเรื่องเกือบโดนอาจารย์ทำโทษด้วยกันทั้งคู่”
“ครั้งนี้ปลอดภัยแน่นอน ฮ่าฮ่า ทำเป็นกลัวไปได้ โดนทำโทษถือเป็นเรื่องเล็กสำหรับข้าอยู่แล้ว”
“ใช่ หากเรื่องที่ถูกลงโทษไม่ใช่เรื่องที่เสื่อมเสียชื่อเสียงศิษย์สำนักในก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ใช่ไหมหลีเหยียนฉือ”
“ไม่เอาน่า เรื่องครั้งก่อนข้าขอโทษครั้งนี้รับรองได้ ไม่มีทางทำให้โดนลงโทษแน่นอนทั้งยังไม่ผิดกฎข้อใดของสำนักอีกด้วย”
“เจ้าแน่ใจ”
“สาบานได้”
“งั้นว่ามาจะไปไหน ทำอะไร”
“ข้ามาชวนไปโถงรับงาน”
“โถงรับงาน คือที่สำหรับศิษย์ที่อยากได้ภารกิจ ทั้งได้ฝึกฝีมือ ได้รางวัลตามความยากง่ายและยังได้ออกจากสำนักอีกด้วย (นี่สิสำคัญสำหรับเจ้าอ้วน)”
“เจ้าอยากออกไปนอกสำนัก?”
“แน่นอน นี่เกือบเดือนแล้วอีกไม่กี่วัน พวกเราก็ต้องเข้าไปรับการฝึกร่วมกับศิษย์สำนักในบนเขา ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสออกไปนอกสำนักอีกหรือเปล่า”
“ลองไปดูก็ได้ แต่เจ้าห้ามก่อกวนจนเกิดปัญหาเข้าใจหรือไม่”
“ได้ๆ ข้าแค่ไปดูเท่านั้น”