“โอ๊ยนี่คุณ! ปล่อยฉันก่อน เจ็บ! คุณ!”
ทางด้านดารวีที่โดนลากตัวออกมาด้านนอกนั้นทั้งเดินทั้งวิ่งตามร่างสูงจนขาเธอแทบจะก้าวไม่ทัน จึงสะบัดมือออกด้วยแรงทั้งหมดที่มีเพราะคนที่เข้าไปช่วยเธอนั้นดันกำข้อมือเธอแน่นเสียจนเจ็บไปหมด
ส่วนอัศวินที่ยอมปล่อยข้อมือเล็กนั้นหันกลับมาหาหญิงสาวอย่างนึกเคือง เขาเห็นตั้งแต่เธอเดินไปเต้นยั่วพวกขี้เมาพวกนั้นแล้ว ทีแรกเขาไม่คิดจะช่วยเพราะเห็นว่าเจนจัด น่าจะเอาตัวรอดได้ จนกระทั่งเขามองดูจนแน่ใจว่าเธอไม่มีปัญญาออกมาจากกลางวงนั้นแน่จึงยื่นมือเข้าไปช่วยออกมา
“ทีหลังถ้าช่วยตัวเองไม่ได้ ก็กรุณาอย่าไปอ่อยพวกขี้เมาพวกนั้น เพราะมันเดือดร้อนคนอื่นไปหมด วุ่นวายแค่เพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว!”
อัศวินพูดออกมาอย่างเหลืออด ทำเอาคำขอบคุณที่ดารวีกำลังจะพูดถูกกลืนหายไปในลำคอทันที
“นี่คุณ! พูดดีๆไม่เป็นรึไง ใครอ่อย ฉันมาเที่ยวของฉัน พวกผู้ชายพวกนั้นต่างหากที่เข้ามาหาฉันเอง”
ดารวีพูดอย่างไม่ยอมรับผิด เมื่อคิดว่าจะขอบคุณและพูดกับเขาดีๆแต่เขาดันพูดกับเธอไม่ดีก่อนเอง
“น่าจะปล่อยให้โดนยำอยู่กลางวง”
“นี่คุณว่าอะไรนะ! ทีแรกฉันก็ว่าจะขอบคุณที่ช่วย แต่ตอนนี้ไม่ล่ะ ทีหลังไม่ต้องช่วยก็ได้ ไม่ได้ต้องการ ไม่ได้เรียกร้อง ชิส์”
อัศวินถึงกับของขึ้นเมื่อโดนผู้หญิงตอกใส่หน้าแบบนี้ ชายหนุ่มก้าวทีเดียวถึงร่างบางก่อนจะกดจูบปิดปากร้ายๆนั้นพร้อมกับพยายามสอดแทรกเรียวลิ้นร้อนเข้าไปหาความหวาน ทำเอาคนที่เคยแต่จินตนาการแต่ไม่เคยเจอของจริงแบบนี้ถึงกับอึ้ง ไปไม่เป็น ปากเล็กที่กำลังโดนรุกล้ำไม่รู้แม้จะตอบกลับเขายังไง ได้แต่ให้เขาดูดชิมความหวานอย่างสุดที่จะห้าม ส่วนทางด้านอัศวินนั้น ทีแรกนึกแค่ว่าจะสั่งสอน แต่พอได้เชยชิมถึงกับหลงอยู่ในวังวนความหอมหวานนั้นเสียแล้ว แขนใหญ่โอบกอดร่างเพรียวเข้าหาตัวก่อนจะพาเธอกระเถิบไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้ที่ปราศจากจากสายตาคนอื่น
“อื้ม จ๊วบ จุ๊บ อื้อ อื้ม จุ๊บๆๆ”
ชายหนุ่มเฝ้าตักตวงความหอมหวานจากหญิงสาวที่ดูไร้เดียงสาขัดกับหน้าตาท่าทางของเธอนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนดารวีที่เริ่มอยากลองพยายามจูบตอบเขาไป ยิ่งทำให้ชายหนุ่มแทบคลุ้มคลั่งกับความเดียงสาของคนตรงหน้า มือใหญ่ที่โอบกอดเริ่มซุกซนยกขึ้นลูบไล้กอบกุมไปที่หน้าอกอวบแสนเต่งตึงอย่างย่ามใจ โดยนึกแปลกใจว่าทำไมเขาถึงไม่รู้สึกรังเกียจหญิงสาวเหมือนกับที่รังเกียจผู้หญิงคนอื่นๆที่เพียงแค่คิดเท่านั้นเขาก็แทบไม่อยากมีแฟน
ผลัก!!!
“ไม่!!”
เมื่อโดนเขาสัมผัสเข้าที่หน้าอก ดารวีถึงกับสะดุ้ง รู้สึกตัวทันทีว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ หญิงสาวผลักร่างสูงออกจากตัวด้วยแรงทั้งหมดที่มี ทำเอาอัศวินล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ
“อ๊า ยัยบ้าเอ้ย เจ็บเป็นบ้าเลย”
อัศวินว่าออกมาพร้อมกับพยายามพยุงตัวลุกขึ้น ความต้องการที่กำลังปะทุมอดดับลงทันที
“ยัยวี ฮึก ยัยวีจริงๆด้วย ฮือ แกเป็นอะไรไหม แกยังดีอยู่รึเปล่า ฮึก แกรู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงแกแทบแย่ ฮือ ถ้าแกเป็นอะไรไปฉันจะทำยังไง แกมันบ้าไปแล้ว ฮึกๆ”
แต่ทั้งสองยังไม่ได้พูดอะไรกันไปมากกว่านี้ ร่างเล็กของมธุรสก็วิ่งร้องไห้เข้ามาหาดารวีเสียก่อน
“โอ๋ๆๆๆ ฉันไม่เป็นไรแล้ว อย่าร้องนะๆ เดี๋ยวเรากลับบ้านกัน ฉันปลอดภัยดี หยุดร้องๆ”
สองสาวกอดปลอบกันอย่างรู้สึกดีใจที่ปลอดภัยจนลืมไปว่ายังมีผู้ชายอีกหนึ่งคนยืนหัวโด่อยู่ตรงหน้า
“อะแฮ่ม”
อัศวินแกล้งกระแอมกระไอ จนสองสาวหันมามอง มธุรสพยายามเพ่งเล็งมองหน้าของผู้ชายตรงหน้าในความมืดสลัว
“คุ้นๆแฮะ อ่าว เฮ้ย บะ...บ.ก.ใหญ่!!”
“แกว่าอะไรนะ!!!”
สองสาวพูดออกมาเสียงดัง เมื่อมธุรสมองจนแน่ใจว่าคนตรงหน้าคือเจ้านายหนุ่มของตน ส่วนดารวีถึงกับรีบเพ่งตามองตามทันที และพบว่าที่เพื่อนพูดมานั้นมันเป็นความจริง
“เอ่อ เจ้านายคะ คะ...คือว่า....พวกเราขอตัวกลับก่อนนะคะ ข...ขอบคุณที่ช่วยยัยวี เฮ้ย เพื่อนของดิฉัน เอ่อลาละค่ะ”
มธุรสรีบกล่าวลาทันทีเมื่อรู้ว่าเป็นเจ้านายของเธอ ถ้าเจ้านายเขารู้ความจริงมีหวังโดนเล่นงานกันยันหัวหน้าแผนกเป็นแน่
“อะ อ่าว เฮ้ย ง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอวะ”
คชาที่เดินเข้ามาสมทบเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นสองสาวขอตัวกลับทั้งที่ยังไม่ได้ขอบคุณพวกเขาสักคำแบบนี้
“เออช่างเถอะ กลับกันเถอะ”
อัศวินพูดออกมาอย่างโกรธๆ ที่วันนี้เขามันดวงซวย เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ แถมต้องมาอารมณ์ค้างอีก วันนี้ไม่ใช่วันของเขาจริงๆ
“เฮ้ย อย่าพึ่งดิวะ ผู้หญิงชุดแดงเป็นลูกน้องแกเหมือนยายเซ่อนั่นรึเปล่า ชื่ออะไรอ่ะ”
คชาถามออกมา เมื่อเขาอยากสานสัมพันธ์กับดารวีแสนสวยเสียแล้ว
“ไม่รู้ ไม่ได้เป็น ลูกน้องฉันไม่มีสวยๆแบบนั้นหรอก มีแต่เฉิ่มๆเชยๆจะเอาไหม”
อัศวินอดหันมาแขวะเพื่อนไม่ได้ เพราะอันที่จริงเขาก็ไม่รู้จักเพื่อนของมธุรสคนนี้ และคิดว่าน่าจะไม่ได้ทำงานที่บริษัทของเขาแน่นอน
“ว้า เสียดายว่ะ แต่ยัยเซ่อทำงานที่บริษัทแกนี่น่า หึหึ อย่างนี้ก็หาตัวได้ไม่ยากแล้วสิ”
“ไร้สาระ”
อัศวินเอ่ยขึ้นก่อนจะอดหันไปมองตามหลังรถเก๋งสีขาวที่พึ่งขับออกไปไม่ได้ เพราะมันเป็นรถที่สองสาวพึ่งขับออกไป จากนั้นสองหนุ่มก็พากันขึ้นรถกลับ เพราะตอนนี้ผับคงใกล้จะปิดแล้ว
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา
“อ่าว วันนี้แกเข้าบริษัทด้วยเหรอ”
“ค่ะพี่ชัช กะว่าจะเข้า จันทร์ ถึง พุธ ส่วนที่เหลือจะเขียนงานอยู่ที่บ้านค่ะ”
ชัชวาลที่พึ่งมาถึงบริษัทเอ่ยขึ้น เมื่อเดินเข้ามาในห้องดันเห็นดารวีนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“แล้วมาหาพี่มีเรื่องอะไร ไม่ไปห้องทำงานนักเขียนล่ะ”
“มีเรื่องปรึกษาเกี่ยวกับนิยายนิดหน่อยค่ะ พอดี วันนั้นยังไม่ได้เก็บข้อมูลก็เกิดเรื่องซะก่อน”
ชัชวาลพยักหน้ารับรู้ เพราะการกระทำของดารวีและมธุรสอยู่ในสายตาของเขาตลอด ก่อนที่ทั้งสองจะคุยเรื่องงานกัน จนกระทั่งเสร็จดารวีก็เดินกลับเข้าไปที่ห้องที่เธอใช้ทำงาน ซึ่งเป็นห้องประชุมเล็กของบริษัท
“ขอโทษนะคะ คุณดารวีใช่หรือเปล่าคะ”
“อ้อ ใช่คะ มีอะไรรึเปล่าคะ”
ดารวีกำลังนั่งทำงานอยู่ดีๆ ก็มีผู้หญิงเดินเข้ามาถามหาเธอ และพอพูดคุยกันอยู่สักพัก หญิงสาวก็เดินตามผู้หญิงอีกคนออกมา
อะไรวะ ทำไมถึงเรียกเราเข้าไปพบ หรือว่าเรื่องนั้น เอ๊ะแต่มันก็ผ่านมานานแล้ว น่าจะไม่ใช่หรอกเขาคงจำเราไม่ได้ หรือว่ายัยรสจะหลุดปากบอกว่าเป็นเรา!
ขณะที่เดินตามเลขาของอัศวินไป ดารวีอดคิดออกมาอย่างรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้ เพราะร้อยวันพันปีพวกผู้บริหารมักจะไม่ค่อยยุ่งกับพวกนักเขียนอย่างเธอ มีอะไรก็มักจะพูดผ่าน บ.ก.มา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เชิญ”
เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตหนูนาก็เปิดประตูเข้าไป พร้อมกับดารวีที่เดินตามมาติดๆ
“ขอบคุณมากกลับไปทำงานของคุณเถอะ”
อัศวินบอกขึ้น ก่อนที่สองสาวจะหันหลังทำท่าเดินออกจากห้องของเขาไป
“ไม่ใช่คุณ! ผมหมายถึงเลขาของผม”
อัศวินบอกขึ้นเสียงดังอย่างขัดใจในความเซ่อซ่าของดารวี ที่ดันเดินตามเลขาของเขาออกไปทั้งๆที่เขายังไม่ได้พูดคุยกับเธอเลยสักนิด ส่วนดารวี ที่ใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรีบหันเดินกลับมาหยุดยืนหน้าโต๊ะทำงานของเขาอีกครั้ง ตากลมเผลอไปจ้องมองที่ปากหยัก ที่เคยรุกล้ำเธออย่างเผลอตัว
“เชิญนั่ง”
อัศวินบอกขึ้นพร้อมกับวางปากกาลงบนโต๊ะทำงาน แล้วเงยหน้าขึ้นมาจับจ้องไปที่คนตรงหน้าอย่างจงใจ ทำเอาดารวีรีบนั่งลงทันที
“อะ เอ่อ บ.ก.คะ คือว่า เรียกดิฉันมามีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ”
“ไม่มี ผมก็แค่อยากรู้จักพนักงานของผม ก็เท่านั้น”
ดารวีมองคนตรงหน้าอย่างจับผิด แต่เขากลับไม่มีอะไรแสดงพิรุธออกมาเลยสักนิด ส่วนอัศวิน เขากำลังมองดูคนตรงหน้า ที่ดูเฉิ่มเชย มองตรงไหนก็ไม่เห็นน่าพิศวาสเลยสักนิดนั้นอย่างพิจารณา ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาได้อ่านนิยายที่เธอเขียนจนแทบหมดทุกเรื่อง และแต่ละเรื่อง ทำเอาเขาต้องพึ่งพาน้องมือทั้งสองข้างหลายต่อหลายครั้ง เพราะมันช่างดุเดือนเผ็ดซ่านอารมณ์ดิบของเขาเสียเหลือเกินจนอยากรู้ว่าเธอเขียนเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร หรือว่ามีประสบการณ์ตรง แต่เท่าที่เขาดู ดารวีนั้นจะมีแฟนหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะดูเหมือนพวกหัวสมัยโบราณขนาดนั้น
“ผมอยากรู้ว่านิยายทุกเรื่องของคุณ คุณได้แต่งมันขึ้นมาเองหรือเปล่า”
เมื่อเขาพูดจบ ดารวีถึงกับมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ เพราะคำพูดของเขามันสื่อถึงว่าเธออาจไม่ได้แต่งนิยายเองแต่ไปลอกของคนอื่นมางั้นเหรอ
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ผมก็แค่อยากรู้ ว่าคุณแต่งนิยายพวกนั้นได้ยังไง”
เขารีบแก้ตัวเมื่อเห็นคนตรงหน้ามองมาอย่างไม่พอใจ
“แต่งเองทุกเรื่องค่ะ ไม่ลอกใคร ไม่โกง ไม่นิยมอะไรแบบนั้น”
เสียงที่ค่อนข้างแข็งเอ่ยขึ้น พร้อมกับเชิดหน้าอย่างยืนยันที่พูดออกไปนั้นเป็นความจริง
“คุณมีแฟนรึยัง”
อัศวินยังไม่ยอมหยุด แต่คำถามของเขาดันไปเพิ่มเลือดบนหน้าของดารวี จนเธอแทบอยากเดินหนีออกจากห้องเขาไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ดิฉันคิดว่านี่มันเป็นเรื่องส่วนตัว ขอไม่ตอบนะคะ”
“หึ คงยังไม่มี”
อัศวินพูดออกมาในแบบที่เขาคิด ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้ามาหาดารวี ที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเก้าอี้ เขาเดินเข้ามาก้มลงใกล้เธอจนได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายสุดแสนรัญจวนใจของเจ้านายหนุ่ม
“แน่ใจนะว่าไม่มี”
อัศวินกระซิบถามข้างหู ทำเอาหญิงสาวถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
“ว๊าย!!!”
ดารวีที่นั่งทนเฉยไม่ไหวตัดสินใจลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว จนชนเข้ากับอกกว้างที่โน้มลงมาแกล้งเธอจนหญิงสาวแทบล้มหน้าทิ่มลงพื้น แว่นตาที่สวมอยู่กลิ้งกระเด็นออกไปไกล แต่ดีที่มือใหญ่ของเขาจับแขนเธอเอาไว้ก่อน
“เป็นอะไรรึเปล่า ผมแค่ล้อเล่นเอง”
อัศวินมองหน้าของนักเขียนสาวที่ยังคงหลับปี๋อยู่นั้นอย่างนึกขัน เพราะเธอคงกลัวเจ็บขนาดทำหน้าตาแบบนี้ออกมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะต้องตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อดารวีลืมตาขึ้นพร้อมกับจ้องมองเขากลับไป