เจ้าที่

1350 คำ
” เฮ้อ! เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านนำทางข้าไปยังจวนของท่านจะได้มั้ยเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะลองหาวิธีพูดคุยหรือเจรจากับเทพเจ้าที่ๆ จวนของท่านดู เผื่อว่าเขาจะเห็นใจให้ท่านเข้าไปหาครอบครัว” ร่างบางกล่าวอย่างครุ่นคิด แม้จะไม่ค่อยมั่นใจว่าเจ้าที่ๆโลกยุคนี้จะสามารถรับมือได้ง่ายๆหรือไม่ก็ตาม “จริงหรือ! งั้นเราไปกัน รีบไปกันเถิด” หญิงสาวอยากจะมองบนแรงๆ ให้กับอาการเดี๋ยวโศกเศร้าเดี๋ยวดีใจของวิญญานตรงหน้าเสียจริง นางส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะก้าวเดินตามเขาไป ระหว่างทางวิญญาณชายผู้นั้นก็แนะนำตัวว่าตนชื่อแซ่อะไร ก่อนจะย้อนถามถึงที่มาที่ไปของหญิงสาว ” เอ๋ ท่านรู้ด้วยหรือเจ้าคะว่าข้าไม่ใช่เจ้าของร่างนี้” ไอฝนถามอย่างแปลกใจเมื่อวิญญาณแซ่’เฟิน’กล่าวถามถึงที่มาอันแสนไกลที่นางจากมา “ก็ใช่น่ะสิ เจ้าคงไม่รู้ตัวใช่หรือไม่ ว่าที่หน้าผากของเจ้าน่ะมีรอยกากบาทอยู่ บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้านั้นจะต้องวิญญานเคยหลุดออกจากร่างหรือเคยเฉียดใกล้ความตายมาแล้ว อีกทั้งร่างที่เจ้าสวมตัวตนอยู่นั้นก็ยังไม่เป็นร่างเดียวกันกับวิญญานที่แต่งกายประหลาดนั้นอีกด้วย เหมือนกับยังไม่เข้าที่ดีน่ะ” “งั้นหรือเจ้าคะ” ร่างบางจึงค่อยๆ เล่าเรื่องราวของตนเองให้เฟินไท่หยูฟังว่าตนเองนั้นชื่อไอฝนเป็นคนไทยที่’ เผอิญ’ วิญญานได้หลุดออกจากร่างและมาสิงร่างกายของ’ ฝางเสี่ยวลิ่ว’ ผู้นี้อยู่ ซึ่งเจ้าของร่างนี้นั้นได้ตายจากโลกนี้ไปตั้งแต่ที่ถูกทำร้ายเมื่อหลายวันก่อน เธอจึงเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายนี้แทน แต่ยามที่เธอเดินทางเร่ร่อนอยู่นั้นกลับโชคร้ายพบเจอโจรป่าที่พากันทำร้ายจนเธอต้องแกล้งตายจึงรอดมาได้ “มิน่าเล่า คำพูดคำจาของเจ้าถึงได้ฟังดูแปลกๆ แต่ก็เอาเถิด ดูท่าทางของเจ้าแล้วน่าจะเป็นคนดี เช่นนั้นฟ้าดินคงจะเมตตาช่วยเหลือเจ้าให้อยู่รอดปลอดภัยในแคว้นนี้อย่างแน่นอน ข้ามั่นใจ” “ขอบคุณเจ้าค่ะ เอ..ว่าแต่จวนของท่านใช่หลังนี้หรือไม่เจ้าคะ” หญิงสาวถามขึ้นเมื่อเดินมาถึงจวนหลังขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ตรงหน้า วิญญาณแซ่เฟินที่พูดคุยกับหญิงสาวอย่างเพลิดเพลินหันไปมองยังจวนหลังนั้น ก่อนจะน้ำตาเอ่อขึ้นมาคลอเบ้าอย่างยินดี “ใช่..หลังนี้ล่ะ บ้านของข้า ดีจริงเจ้าเทพเจ้าที่ไม่อยู่ข้างหน้าตอนนี้ งั้นเดี๋ยวข้าจะลองเข้าไปดูดีกว่า เจ้าคอยข้าอยู่นี่ล่ะ” ร่างหนาก้าวเดินหวังจะผ่านประตูรั้วเข้าไปแต่กลับถูกแสงประหลาดสีทองกั้นเอาไว้ “เจ้าผีร้าย คิดล่วงล้ำเข้ามายังเขตดูแลของข้าอย่างนั้นหรือ” เสียงตวาดดังลั่นขึ้นมาก่อนที่จะปรากฏร่างโปร่งแสงสีทองของชายชราเคราขาวถือไม้เท้าผู้หนึ่ง ยืนกันเอาไว้ไม่ยอมให้เฟินไท่หยูผ่านเข้าไปด้านใน “ข้าไม่ใช่ผีร้ายนะ ข้าเป็นเจ้าของจวนหลังนี้ ทำไมข้าจะเข้าไปไม่ได้” วิญญานหนุ่มเจ้าของบ้านตะโกนออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ ก่อนจะพยายามฝ่าเข้าไปอย่างไม่ยินยอมจึงถูกชายชราใช้ไม้เท้าที่ตนถืออยู่ฟาดเข้าใส่อย่างแรงจนเขากระเด็นออกมา วิญญาณแทบจะฉีกขาดจนต้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวด “โอ้ย!” “ถึงเจ้าจะเคยเป็นเจ้าของจวนแต่ในตอนนี้นั้นเจ้าได้ตายจากไปแล้ว ดังนั้นการสิ้นลมหายใจก็เปรียบเสมือนการปลดออกจากเเอกพันธะใดๆ ทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดเป็นของเจ้าอีกต่อไปนอกจากความดีและความชั่วเท่านั้น” “ไม่! ข้าไม่ยอม หลีกไปข้าจะเข้าไปหาลูกเมียของข้า” วิญญาณหนุ่มทำท่าจะกระโจนเข้าใส่ร่างโปร่งแสงสีทองอีกครั้ง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้องบอก “ท่านไท่หยูใจเย็นๆ ก่อนเถิดนะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าไปเจรจาให้เองเจ้าค่ะ” หลังจากการบอกกล่าวเล่าเรื่องต่างๆให้ร่างโปร่งแสงสีทอง ผู้เปรียบเสมือนดั่งผู้คอยเฝ้าดูแลจวนแห่งนี้ได้รับรู้แล้ว ท่านเจ้าที่ชราจึงบอกให้ไอฝนเชิญฮูหยินเจ้าของบ้านออกมาเอ่ยอนุญาตให้สามีที่เป็นวิญญาณเข้าไปข้างใน เขาจึงจะยอมเปิดทางให้มิเช่นนั้นเขาก็ไม่อาจให้ภูติผีตนใดล่วงล้ำเข้าไปได้อย่างเด็ดขาด เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งสองจึงต้องล่าถอยออกมาเพื่อปรึกษาหารือกันถึงวิธีที่จะให้เฟินไท่หยูสามารถเข้าไปพบหน้าลูกเมียได้ เพราะหากจะให้หญิงสาวเดินเข้าไปบอกกล่าวโดยไร้ซึ่งหลักฐานใดๆ เสมือนเป็นการสาบแช่ง ดีไม่ดีนางอาจจะถูกมองว่าเสียสติจนอาจถึงขั้นวิกลจริตไปแล้วก็ได้ ดังนั้นทั้งคู่จึงได้แต่เฝ้าครุ่นคิดหาวิธีจนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด หนึ่งคนหนึ่งวิญญาณจึงตัดสินใจพากันเดินออกไปหาที่พักกันเสียก่อน ยามนี้หญิงสาวไม่มีเงินติดตัวแม้ซักกะผีก ดังนั้นจุดมุ่งหมายเพียงสองอย่างก็คือกระท่อมร้างหรือศาลเจ้าร้างที่พอจะใช้ซุกกายหลับนอนได้โดยไม่ต้องเสียเงิน เมื่อเดินไปได้สักพักก็ไม่พบเจอในสิ่งที่ต้องการนางจึงหันไปถามวิญญาณชายแซ่เฟินที่ยามนี้เดินก้มหน้าอย่างสุดเศร้าอยู่ข้างๆ “ท่านพอจะรู้จักศาลเจ้าร้างที่หมู่บ้านนี้บ้างหรือไม่ ข้าว่าเราคงเดินกันมาผิดทางแล้วล่ะเจ้าค่ะ เพราะจนจะสุดหมู่บ้านแล้วก็ไม่เห็นมีศาลร้างเลย” ไร้เสียงตอบดังมาจากวิญญาณของเขา ร่างโปร่งที่มีร่องรอยฉีกขาดจากการถูกอิทธิฤทธิ์ของชายชราเจ้าที่ผู้เฝ้าดูแลรักษาจวนทิ้งกายลงนั่งอย่างเซื่องซึม จนไอฝนที่เห็นท่าทางนั้นต้องเดินไปนั่งลงข้างๆ ก่อนจะเอ่ยปลอบใจ “พี่ชาย ท่านอย่าคิดมากเลยนะ ไม่ว่ายังไงข้าก็จะหาทางพาท่านเข้าไปหาฮูหยินของท่านให้ได้อย่างแน่นอน” “เจ้าอย่ามาปลอบใจข้าเลย มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก ยังไงท่านเจ้าที่ผู้เฝ้าจวนของข้าคงจะไม่ยอมให้ข้าเข้าไปหานางได้หรอก” แค่เพียงอิทธิฤทธิ์อันเล็กน้อยที่ฟาดมาโดน ก็ยังทำให้วิญญาณของเขาเกือบฉีกขาด เช่นนี้แล้วเขามองไม่เห็นทางที่จะผ่านเข้าไปได้เลย “มีวิธีสิเจ้าคะ ข้าพอจะนึกออกแล้วว่าจะทำเช่นไรฮูหยินของท่านจึงจะได้รับรู้ว่าท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว” ประโยคที่ออกมาจากปากของหญิงสาวพอที่จะทำให้วิญญานแซ่เฟินที่นั่งคอตกเงยหน้าขึ้นมามองด้วยดวงตาที่มีประกายแห่งความหวังอีกครั้งหนึ่ง “หือ ทำเช่นใดหรือ” “เอาเถิดเจ้าค่ะข้าพอจะนึกวิธีออกแล้ว แต่ตอนนี้ท่านจะต้องช่วยข้าหาที่พักของคืนนี้ก่อนนะเจ้าคะ ไปกันเถิดเจ้าค่ะ” เมื่อได้ผู้นำทางที่รู้จริง เพียงไม่นานนางก็มาถึงยังศาลเจ้าร้างที่อยู่ท้ายหมู่บ้านขึ้นมาทางทิศเหนือ เมื่อหญิงสาวก้าวเดินเข้าไปภายใน ร่างโปร่งแสงของเฟินไท่หยูกลับชะงักอยู่ตรงทางเข้าไม่ยอมเคลื่อนไหวตามไป เมื่อไอฝนหันไปมองยังทิศทางที่วิญญานแซ่เฟินจับจ้องอยู่ จึงเห็นว่าภายในศาลเจ้าแห่งนี้นั้นมีดวงวิญญานเจ้าถิ่นที่อยู่ภายในศาลก่อนพวกนางนับสิบดวงจับจ้องมาอย่างไม่พอใจ หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ พลางครุ่นคิดในใจ ‘เฮ้อ! งานนี้เห็นทีว่าคงจะต้องคุยกันยาวอีกแล้ว’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม