“ข้าไม่มีหรอกเจ้าค่ะ แต่คนที่มีคือท่านต่างหาก” ร่างบางกล่าวด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นท่าทางที่ตื่นเต้นดีใจของชายที่พ้นวัยกลางคนมามากแล้ว
“ข้าหรือ! ไม่นะข้าไม่มีนะท่านหมอ!” นายท่านหลูเอ่ยค้านพลางนึกทบทวนว่าตนเคยมีของวิเศษที่ว่าติดตัวบ้างหรือไม่ จนได้บทสรุปในใจว่าตนไม่เคยมีของวิเศษที่ว่านั้นอย่างแน่นอน
“เอาไว้อีกสองวันเราค่อยมาดูกันเจ้าค่ะ วันนี้ข้าขอตัวก่อนดีกว่า แล้วอีกสองวันเจอกันนะเจ้าคะ” ร่างบางหันหลังทำท่าจะเดินจากไป แต่ก็ต้องชะงักกายเมื่อถูกเรียกเอาไว้เสียก่อน
“เอ่อ..ท่านหมอ ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากจะให้ท่านพักเสียที่นี่นะขอรับ เผื่ออาเหออาการกำเริบขึ้นมาเราจะได้ดูแลได้อย่างทันท่วงที”
“อืม..ถ้าหากว่าไม่เป็นการรบกวน เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”
“ไม่รบกวนเลยขอรับ เด็กๆ ไปจัดห้องให้ท่านหมอที เอาห้องข้างๆ ห้องอาเหอนี่เลยก็แล้วกันนะ”
“เจ้าค่ะนายท่าน” บ่าวรับใช้หญิงรีบวิ่งออกไปจัดการตามคำสั่งของผู้เป็นนายในทันที
คืนนั้นร่างบางจึงได้พำนักอยู่ที่คฤหาสน์สกุลหลู โดยมีบ่าวรับใช้ที่ได้รับคำสั่งจากเจ้าของคฤหาสน์คอยดูแลรับใช้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หลังจากที่รับสำรับเย็นร่วมกับนายท่านหลูแล้วหญิงสาวจึงนั่งจิบชาพร้อมกับคุยสัพเพเหระกับผู้สูงวัยกว่าอย่างสนุกสนานเมื่อเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น เพราะนายท่านหลูนั้นท่านมีเพียงบุตรชายเพียงคนเดียวเท่านั้น เมื่อมีหญิงสาวที่วัยใกล้เคียงกับบุตรของตน จึงนึกเอ็นดูดังเช่นบุตรสาวอีกคนที่ตนไม่เคยมี โดยที่ไม่คิดที่จะถือสาถึงแม้ว่าใบหน้าของนางจะอัปลักษณ์ด้วยรอยแผลเป็นก็ตาม เสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีของผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ที่ดังแว่วมาอย่างไม่ขาดสายนั้นเรียกรอยยิ้มยินดีของเหล่าบ่าวไพร่ที่คอยดูแลรับใช้ที่จวนแห่งนี้มาหลายสิบปี จนทุกสายตาที่มองไปยังหมอหญิงผู้มีแผลเป็นตรงใบหน้าเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังทำให้คนที่ก้าวเดินออกมาอย่างช้าๆ ตามเสียงหัวเราะนั้นพลอยรู้สึกแปลกใจไปด้วย เพราะตั้งแต่ที่นายหญิงของจวนได้สิ้มลมไปก็หาได้ยากนักที่นายท่านหลูจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขเช่นนี้
“ท่านพ่อ..” เสียงทุ้มที่ยังมีร่องรอยของอาการเหนื่อยล้าอยู่มากดังขึ้น ก่อนที่ร่างสูงของคุณชายเพียงคนเดียวของบ้านจะเดินเข้ามาด้วยการประคองของบ่าวรับใช้ส่วนตัว
“อาเหอ!” นายท่านหลูรีบลุกขึ้นเดินไปประคองบุตรชายของตนอย่างตื่นตระหนก แม้ว่าจะดีใจที่เห็นว่าเขาสามารถลุกออกมาจากที่นอนได้แล้วอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ก็ยังคงเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะล้มเจ็บลงไปอีก
“อาเหอเจ้าลุกออกมาทำไม ใยจึงไม่นอนพัก” ใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงซีดเซียวอยู่หันไปยิ้มอ่อนให้กับบิดา
“ข้าอยากลุกเดินบ้างขอรับท่านพ่อ นอนมามากพอแล้ว” เขาหันไปมองหญิงสาวแปลกหน้าที่นั่งมองพวกตนพ่อลูกอยู่อย่างแปลกใจ ยิ่งเมื่อได้เห็นว่าใบหน้าของนางมีรอยกรีดเป็นแผลเป็นพาดลงบนแก้มอย่างน่าหวาดเสียวในใจก็พลันนึกเวทนาขึ้นมา ด้วยสำหรับชีวิตของสตรีเพศ ใบหน้านั้นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่หญิงสาวทุกคนหวงแหนเท่าชีวิต การทำลายโฉมของหญิงสาวผู้หนึ่งก็เท่ากับว่าได้ทำร้ายและทำลายชีวิตของนางลงไปพร้อมๆกับใบหน้าเช่นกัน
“อ้อ นี่คือท่านหมอผู้มีพระคุณที่ช่วยรักษาเจ้า แม่นางเสี่ยวลิ่ว”
“ขอบพระคุณท่านหมอขอรับที่มีเมตตาช่วยเหลือข้า หากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือตอบแทนท่านได้ขอเพียงเอ่ยปาก หากไม่ขัดต่อมนุษยธรรมข้ายินดีทำด้วยความเต็มใจขอรับ” แม้จะเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าอาจจะอ่อนวัยกว่าตนเสียด้วยซ้ำ แต่บุญคุณที่ช่วยชีวิตนั้นมากมายเกินทดแทน คุณชายตระกูลใหญ่เช่นเขาย่อมไม่อายที่จะก้มหัวกล่าวคำขอบคุณต่อหญิงสาวที่มีวัยที่อ่อนกว่าเช่นนี้
“คุณชายเหออย่าได้เกรงใจเลยเจ้าค่ะ ช่วยชีวิตคนนั้นได้กุศลเสียยิ่งกว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นเสียอีก หากไม่เกินความสามารถข้าก็ยินดีที่จะช่วยเหลือเจ้าค่ะ อีกอย่างดูแล้วข้าน่าจะอ่อนวัยกว่าท่าน ให้ท่านเรียกข้าว่าเสี่ยวลิ่วเช่นเดียวกันกับท่านลุงก็ได้เจ้าค่ะ อย่าเรียกว่าท่านหมอเลย มันฟังดูแปลกๆ อย่างไรชอบกล” หญิงสาวกล่าวก่อนจะยิ้มน้อยๆออกมาพาให้คนที่จับจ้องดูอยู่ ถูกแววตาที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวานั้นสะกดเสียจนเผลอมองข้ามผ่านรอยแผลเป็นที่ใบหน้าของนาง จนหลงเหลือเพียงความงามที่เปล่งประกายออกมาเท่านั้นอย่างลืมตัว
” อาเหอ! เป็นอะไรไปหรือ” เสียงเรียกของบิดาทำให้ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์นั้นก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนล้าออกมา
“ถ้าเช่นนั้น เสี่ยวลิ่วก็เรียกข้าว่าพี่เหอก็แล้วกัน จะได้เป็นกันเองมากยิ่งขึ้น เพราะดูแล้ววัยของเจ้าก็น่าจะเป็นน้องสาวของข้าได้” ชายหนุ่มที่ยามนี้รู้สึกถูกชะตากับร่างบางอย่างบอกไม่ถูก จึงถือโอกาสนับพี่นับน้องกับนางในทันทีอย่างใจคิด
“เอ่อ..ก็ได้เจ้าค่ะ” ร่างบางหันไปมองผู้สูงวัยกว่าอย่างเกรงใจ แต่เมื่อเห็นนายท่านหลูพยักหน้าให้ นางจึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม
” แล้วเจ้าเป็นยังไงบ้างเล่าอาเหอ”
” ข้าดีขึ้นมากแล้วขอรับท่านพ่อ เพียงแต่ยังรู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่เล็กน้อยกับยังไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงขยับร่างกายเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะเอาแต่นอนนิ่งๆมาหลายวันน่ะขอรับ”
“ดีแล้ว ต่อไปเจ้าก็ต้องพักผ่อนให้มากๆ นะ เจ้าล้มเจ็บครานี้ทำเอาข้าแทบจะหมดหวังเลยทีเดียว นับว่ายังดีที่ฟ้าดินยังเมตตาส่งเสี่ยวลิ่วให้มาช่วยเหลือเราสองพ่อลูกเอาไว้ได้ มิเช่นนั้นแล้วสกุลหลูของเราคงจะต้องจบสิ้นลงที่ข้าคนนี้แน่นอน” นายท่านหลูหันไปมองร่างบางอย่างขอบคุณ
” อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะท่านลุง ข้าว่าบางครั้งคนเรานั้นก็อาจจะต้องประสบกับคราวเคราะห์อยู่บ้าง แต่พอพ้นเคราะห์มาแล้วต่อไปก็อาจจะมีแต่เรื่องดีๆเข้ามาในชีวิตก็ได้เจ้าค่ะ เปรียบเสมือนดั่งฟ้าหลังฝนอย่างไรเล่าเจ้าคะ แต่สิ่งสำคัญในยามที่เรากำลังประสบเหตุนั้นอยู่ก็คือ เราจะต้องมีสติอยู่เสมอ จะได้มีปัญญาในการหาทางแก้ไขเจ้าค่ะ”
“มันก็จริงของเจ้า ขอบใจเจ้ามากนะเสี่ยวลิ่วที่ช่วยเตือนสติคนแก่ ลุงปลาบปลื้มแทนบิดามารดาของเจ้าจริงๆ ที่สั่งสอนให้เจ้าที่ยังเยาว์วัยอยู่มีความคิดความอ่านที่ดีเช่นนี้” หญิงสาวมีหน้าตาที่สลดลงก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“บิดามารดาของข้าเสียไปนานแล้วเจ้าค่ะ “สองพ่อลูกหันไปมองหน้ากันอย่างตกใจที่ได้ยินเช่นนั้น ก่อนที่นายท่านหลูจะเอ่ยถามร่างบางขึ้นมา
” แล้วตอนนี้เจ้าอยู่กับใครที่ไหนหรือ” เห็นท่าทางที่อึกอักเล็กน้อยของหญิงสาว ก่อนที่นางจะตอบออกมาอย่างไม่มั่นใจว่าตนควรจะพูดดีหรือไม่
”ข้าขอเรียนท่านลุงตามตรงนะเจ้าคะ ตอนนี้ข้าก็เร่ร่อนไปเรื่อยเพื่อจะหาที่ๆ เหมาะสมในการสร้างหลักปักหลักฐานน่ะเจ้าค่ะ ก็กะว่าถ้าได้รางวัลที่รักษาพี่เหอมาแล้ว ข้าก็จะได้มีเงินทุนในการเริ่มต้นชีวิตใหม่” เมื่อเลี่ยงไม่ได้หญิงสาวจึงเลือกที่จะเอ่ยความจริง เพราะอย่างน้อยๆ นางก็ตั้งใจที่จะมาช่วยจริงๆ ส่วนเรื่องของรางวัลนั้นก็ถือเสียว่าเป็นผลพลอยได้ก็แล้วกัน