“เป็นความจริงเช่นนั้นหรือ” เฟินฮูหยินกล่าวด้วยน้ำตานองหน้า เมื่อวานนางพึ่งจะได้รับจดหมายที่เขียนมาบอกเล่าถึงเหตุร้ายที่เกิดกับผู้เป็นสามีส่งมาให้ใจเสียไปทีนึงแล้ว เช้าวันนี้กลับต้องมาได้รับข่าวร้ายอีกครั้งจึงต้องทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง สองตาเหลียวหันไปมองยังบุตรสาวและบุตรชาย ที่ยังคงอยู่ในวัยที่กำลังกินกำลังนอนอย่างเหม่อลอย ยามนี้ไม่ใช่เท่ากับว่าครอบครัวของนางได้ขาดเสาหลักไปเสียแล้วหรอกหรือ
“ข้าเสียใจด้วยนะเจ้าคะฮูหยิน แต่การเกิดแก่เจ็บตายนั้นเป็นเรื่องปกติในชีวิตของผู้ที่เกิดมามีลมหายใจเฉกเช่นพวกเราทุกคน ไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่งเราทุกคนก็จะต้องจากลากัน ขอให้ฮูหยินเข้มแข็งเป็นเสาหลักให้ครอบครัวต่อไปนะเจ้าคะ”
“ข้าจะพยายาม ขอบใจแม่นางมาก”
“เอ่อ ยังมีอีกเรื่องนึงเจ้าคะที่สามีของท่านได้สั่งเสียเอาไว้ก่อนที่จะสิ้นลม” ในบางครั้งการโกหกก็สามารถช่วยคลี่คลายในเรื่องบางเรื่องได้ดีเสียยิ่งกว่าการพูดความจริงเสียอีก
“ท่านพี่สั่งไว้ว่ายังไงบ้างหรือแม่นาง”
“ท่านเฟินบอกว่าหากเขาสิ้นลมแล้ว ก็อยากจะให้ท่านช่วยเอ่ยปากอนุญาตให้เขากลับมาเยี่ยมเยียนลูกๆ บ้างจะได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้ ย่อมได้ แล้วข้าจะต้องทำยังไงบ้างหรือ” แม้จะกลายเป็นเพียงวิญญาณแต่ก็ยังถือว่าเป็นสามีที่ตนได้ร่วมไหว้ฟ้าดิน ชีวิตของสตรีก็เป็นเช่นนี้ แต่งให้เขาแล้วย่อมกลายเป็นผัวเมียกันชั่วชีวิต
“ง่ายมากเจ้าค่ะ แค่เอ่ยตามที่ข้าบอกเท่านั้นเจ้าค่ะ” ใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นพาดผ่านตรงแก้มฉีกยิ้มอย่างยินดีเมื่อสิ่งที่คิดไว้สำเร็จลุล่วงด้วยดี
สองวันต่อมาร่างบางของฝางเสี่ยวลิ่วที่มีวิญญานของไอฝนสาวจากยุคปัจจุบันอยู่ภายใน เงยหน้าขึ้นมองดูจวนหลังใหญ่ที่ออกจะคล้ายกับคฤหาสน์เสียมากกว่าจวน ด้วยความใหญ่โตที่บ่งบอกถึงฐานะที่ไม่ธรรมดาของผู้เป็นเจ้าของตามคำบอกกล่าวเพิ่มเติมของเหล่าวิญญาณที่อยู่ในศาลเจ้าร้าง ว่าที่แท้จริงแล้วอาการเจ็บป่วยของบุตรชายของนายท่านหลูนั้น เป็นเพราะถูกเหล่าวิญญานร้ายที่ถูกผู้มีวิชามนต์ดำนำมาใช้ให้ดูดกินจิตวิญญาน จนเขาใกล้จะสิ้นลมอยู่แล้ว
ซึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นนางก็สอบถามจนได้รู้ว่าชายผู้เคราะห์ร้ายนั้นเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของนายท่านหลู สกุลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองนี้ คุณชายผู้นี้มีหน้าตาที่หล่อเหลายิ่งนัก ทั้งยังอยู่ในวัยที่ควรจะออกเรือนได้แล้ว แต่เพราะเขาไม่ชอบพอกับหญิงใดในระแวกนี้เลยแม้แต่คนเดียว จึงทำให้ยังไม่ได้แต่งฮูหยินเข้าบ้าน แม้ว่าจะมีหญิงสาวมาชอบพอเขามากมายแต่เขาก็ไม่ใส่ใจ แม้กระทั่งบุตรสาวผู้เพียบพร้อมของนายอำเภอก็ยังออกปากว่าจะแต่งให้เขาเพียงผู้เดียว แต่กลับถูกชายหนุ่มปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าจนสร้างความอับอายให้แก่หญิงสาวผู้นั้นยิ่งนัก
ทำให้นางคาดเดาได้เลาๆว่าชายหนุ่มอาจจะถูกคนคิดร้ายเพราะสาเหตุนี้ก็เป็นไปได้ นางจึงตั้งใจที่จะแวะมาดูเผื่อว่าบางทีอาจจะช่วยเหลือสิ่งใดได้บ้าง อีกทั้งนายท่านหลูยังตั้งรางวัลถึงห้าพันตำลึงทองมอบให้แก่ผู้ที่รักษาบุตรชายของเขาได้ นั่นยิ่งทำให้นางอยากจะลองมาดูสักครั้ง หญิงสาวก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังบ่าวร่างใหญ่ที่ยืนเป็นยักษ์ปั่นหลั่นกันอยู่ถึงสี่คน ซึ่งพวกเขาก็พร้อมใจกันหันมามองเมื่อเห็นหญิงสาวแปลกหน้าเดินเข้าไปใกล้
“มาหาผู้ใด!” หนึ่งในนั้นเอ่ยถามกึ่งๆ ตะคอกก่อนจะขยับกายออกห่าง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่เดินเข้าไปหาพวกเขานั้น มีใบหน้าที่เป็นแผลเป็นน่าเกลียดเสียครึ่งหน้า ราวกับนางจะรู้ตัวจึงยกผ้าขึ้นคลุมปิดใบหน้าของตนก่อนจะเอ่ยถาม
“พอดีข้าได้ข่าวว่า นายท่านหลูกำลังประกาศหาหมอมารักษาคุณชายที่ป่วย ข้าพอมีวิชาทางการเเพทย์อยู่บ้าง ก็เลยจะมาลองดูน่ะเจ้าค่ะพี่ชาย”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ไปเข้าแถวรอที่ทางประตูข้างของจวนเลย มีคนมาลองรักษากันเยอะแยะ นู่น ไปทางนู้น” เมื่อชายผู้นั้นเอ่ยตอบทั้งยังชี้มือชี้ไม้ให้ไปเข้าแถวต่อจากคนที่ยืนออกันอยู่ที่ด้านข้างของจวน นางจึงกล่าวขอบคุณก่อนจะก้าวเดินไปตามที่ชายผู้นั้นบอก
ก่อนจะเห็นว่ามีทั้งผู้ที่อ้างตัวเป็นหมอ มีทั้งเหล่านักพรตหรือที่เรียกกันว่าซินแสหลายต่อหลายคนยืนเข้าแถวกันอยู่ นางจึงเดินไปต่อท้ายแถวซึ่งนับมาได้เป็นคนที่ยี่สิบพอดี หลายคนพอเห็นว่าหญิงสาวที่เดินไปต่อแถวกับตนนั้นมีแผลเป็นน่าเกลียดที่ใบหน้า ต่างก็พากันขยับกายหนีอย่างรังเกียจ ฝางเสี่ยวลิ่วคลี่ยิ้มอย่างเป็นมิตรไม่คิดถือสาท่าทางของพวกเขาแม้แต่น้อย เพราะตนเองก็ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ก่อนที่ร่างบางจะเงยหน้าขึ้นไปมองดูเงาดำสามสี่เงาที่ลอยคว้างอยู่เหนือจวน ทำให้นางแน่ใจว่าตนจะต้องได้รางวัลอย่างแน่นอน เพราะหลังจากที่สังเกตดูแล้วไม่มีนักพรตหรือซินแสคนใดสามารถมองเห็นในสิ่งที่นางเห็นเลยแม้แต่คนเดียว
หลังจากที่ยืนคอยจนรู้สึกเมื่อยจนต้องเปลี่ยนเป็นนั่งคอยแล้วก็ถึงเวลาที่ตนจะต้องเข้าไปรักษา นางจึงเดินตามคนที่ทำหน้าที่นำทางจนเข้าไปถึงด้านในของจวนที่ตกแต่งไว้อย่างหรูหรา หญิงสาวมองซ้ายมองขวาอย่างเพลินตากับข้าวของตกแต่งตามสไตล์จีนแท้ ที่ราวกับว่าหลุดออกมาจากหนังจีนโบราณในยุคปัจจุบันที่เคยผ่านตาอยู่บ่อยๆ ก่อนจะมาหยุดสายตาลงที่เตียงนอนขนาดใหญ่ตรงหน้าที่มีบรรยากาศขมุกขมัวไม่สดใสเลยสักนิด และราวกับว่าเหล่าวิญญานร้ายที่รุมกัดกินดวงจิตของชายผู้เคราะห์ร้าย จะรับรู้ได้ว่าหญิงสาวผู้มาใหม่นั้นสามารถรับรู้และมองเห็นถึงกายโปร่งแสงสีดำของพวกมันได้ จึงพาบังคับควบคุมให้ร่างผอมที่เคยนอนแน่นิ่งเหม่อลอยอยู่เสมอๆ นั้น ให้มองมายังนางนิ่งด้วยแววตาแข็งกร้าวปนระแวง
ร่างบางเพ่งมองตอบสายตากล้าแข็งนั้นอย่างตั้งใจ และด้วยความสามารถพิเศษที่ติดตามมาในจิตวิญญานของชาติก่อน บ่งบอกให้นางรับรู้ได้ว่าคนตรงหน้ากำลังถูกกลืนกินวิญญานเสียจนเกือบจะหมดกลิ่นไอของความเป็นมนุษย์อยู่แล้ว หากได้รับการรักษาล่าช้าไปกว่านี้ก็อาจจะสายเกินแก้ได้ หญิงสาวพยายามมองหาเทพประจำกายของเจ้าของร่างผอมโซ แต่ดูเหมือนว่าแม้แต่เทพอารักขาประจำกายสังขารนี้ก็ดูเหมือนว่าจะถูกเหล่ากลุ่มวิญญานร้ายที่มีพลังกล้าแข็งขับไล่ไปเสียแล้วเช่นกัน ยิ่งมองสำรวจก็ยิ่งเห็นถึงสภาพร่างกายของคนตรงหน้าที่มีทีท่าว่าจะหมดลมหายใจได้ทุกเมื่อ ทำให้หญิงสาวนึกสงสารขึ้นมาจับใจ ร่างบางค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้โดยมีสายตาของทั้งคนและเงาดำคอยจับจ้องการเคลื่อนไหวของนางอยู่อย่างไม่วางตา