ครั้นเมื่อหันหน้ากลับไป เธอก็ต้องตกใจ กับใบหน้าเรียวยาวที่ดูคมและหล่อเหลาอีกทั้งมีเรือนร่างที่สูงโปร่ง สูงมากกว่าหล่อนถึง สามเซน
ซึ่งร่างตรงของแทนธัตรนั้นได้ก้าวฉับปราดเดียวเขาก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับมองดูหญิงสาวชาวกรุง เบื้องหน้าด้วยท่าทีที่แปลกๆ
เพราะคาดเดาจากลักษณะที่เห็นจากการแต่งกายของหญิงสาว ซึ่งมีผิวพรรณแบบผู้ดี ละเอียดผุดผ่อง เหมือนอยู่แต่ในที่ร่ม และห้องแอร์ ไม่เคยพบเจอแดด
แล้วเขาก็บอกกับตัวเองว่าเธอไม่ใช่คนพื้นเพที่นี่อย่างแน่นอน และก็รู้สึกแปลกใจ ที่เธอมาถึงที่นี่ได้ ญาติของใคร และส่วนเขา ก็บอกกับตัวเองได้ว่า เขานั้นไม่เคยเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้มาก่อน ซึ่งยอมรับว่าเธอเป็นคนที่สวยสะดุดตาสะดุดใจอย่างมากเลยทีเดียวทั้งคำพูดคำจาแต่ค่อนข้างร้าย เพราะดวงตาคมที่ดุ
หากแต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไม?เธอถึงเลือกมายังสถานที่ ซึ่งถือว่าทุรกันดารอย่างมากที่สุดเช่นนี้
นั่นไง ยังเห็นอยู่ ภาพของหล่อนที่ลุ่มหลงด้วยการใช้สายตาจ้องมองดูพวงพราวที่ระย้าย้อยของดอกไม้สีเพลิง อย่างทองกวาว หรือ ดอกจานตามประสาชาวบ้านที่เรียก
และที่ยิ่งทำให้เขางวยงงมากกว่านั้นที่หล่อน” ทำท่าเหมือนเพิ่งจะเคยพบเคยเห็นดอกไม้สีเข้มดั่งเพลิง พวงพราวที่ละลานสายตาไปหมดแถบบริเวณนี้เป็นครั้งแรก เหมือนคนมีอาการเห่อ
ซึ่งแทนธัตรกลับเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติของดอกไม้ที่สะพรั่งบานเมื่อถึงหน้าฤดูพอพ้นจากฤดูก็แห้งเหี่ยวเฉาลงปลิดดอกทิ้งเกลื่อนจนกลายเป็นธาตุอาหารของดินและเป็นปุ๋ยย่อยสลายตามธรรมชาติเพราะไม่ใช่มีแค่ต้นเดียว
หลากหลายต้น หากแต่มีเพียงต้นใหญ่ต้นนี้เองที่ดกพราวไปหมดตามกิ่งก้านของมันประดับสีสันงดงาม แม้ไม่มีกลิ่นหอม และแทบทุกต้นนั้นอยู่ในช่วงระยะที่ผลัดใบ สีสันของดอกที่เห็น จึงไม่แตกต่างไปจากสีของเพลิง
“คุณ คงชอบสินะ เห็นยืนจ้อง อยู่ตั้งนาน”
เขาเอ่ยถามขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงนุ่มไม่มีปนดุนี่ถือว่าเขาทักทายและต้อนรับอาคันตุกะที่แสนจะแปลกหน้าอย่างหล่อนด้วยมิตรไมตรีจิตนั่นเอง
แต่ถึงอย่างไรรวิวาลย์ก็ยังไว้ท่าทีของหล่อนเช่นกัน เพราะหล่อนมาจากเมืองกรุงไม่ใช่สาวชนบท ที่สำคัญ หล่อนติดชิน”กับความสะดวกสบายรสนิยมที่แพงหรูที่หล่อนอยากได้อะไร” เป็นต้องได้เสมอโดยไม่มีใครกล้าขัดใจ ซึ่งแทนธัตรมองดูหญิงสาวตรงหน้า ที่วัยของหล่อน น่าจะผ่านวัยมหาวิทยาลัยแล้วเช่นเดียวกับเขาแต่เขาก็มองหล่อนด้วยความรู้สึกที่แสนขำ มากกว่าอย่างอื่น
“ใช่”แต่หล่อนกลับตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่ห้วนค่อนกระชากนิด และไม่เพราะเอาเสียเลย
“ที่นี่ เป็นหมู่บ้าน พลับพลาใช่ไหม?”
เมื่อถามเขาแล้วทำให้รวิวาลย์ รอคำตอบเพราะหล่อนต้องการจะไปที่นั่นจริง
และหล่อนก็เห็นอยู่แล้วว่าป้ายชี้บอกเส้นทางทำลูกศรหันตรงให้วิ่งผ่านไปบนถนนสายนี้ซึ่งมันแยกจากถนนใหญ่เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาหลังจากที่รวิวาลย์ตัดสิน หักพวงมาลัยรถขับเข้ามาและหล่อนก็มั่นใจอย่างนั้นด้วย แต่ก็รอคำยืนยันจากปากของเขา
ถึงแม้หล่อนจะใช้วาจาที่ถือว่าพูดไม่เพราะเลยก็ตาม หมือนมะนาวไม่มีน้ำทั้งๆที่เป็นหญิง ซึ่งควรจะพูดจาเพราะพริ้ง นุ่มหูมากกว่านี้ แต่แทนธัตร ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ก็ยังคงตอบด้วยไมตรี
“ใช่ ครับ เลยไปข้างหน้าหน่อยนี้ ก็ถึงแล้ว หมู่บ้านพลับพลา”
เขาเอ่ย แล้วมองดูสารรูปของหล่อนอีกครั้ง
“เอแต่ว่าคุณตั้งใจจะไปที่หมู่บ้านพลับพลาจริงหรือ”
เมื่อเขาเอ่ยถามเช่นนี้ทำให้สายตาของหล่อนนั้นเหลือบมองเขาด้วยความไม่พอใจ
“ใช่ แล้ว ทำไมหรือ? คุณสงสัยอะไร เพราะฉันจะไปที่นั่นจริง”
แต่แทนธัตรก็ขมวดคิ้ว
“คุณมีญาติพี่น้อง อยู่ที่นั่น หรือเปล่า?”
เมื่อเขาตั้งคำถามออกมาอีก ทำให้รวิวาลย์ตอบออกมาอย่างเซ็ง เพราะไม่ชินกับการถูกตั้งเป้าและเพ่งเล็ง จับผิด รวมทั้งไม่ชอบด้วยอย่างมาก
“เปล่า” เป็นคำตอบที่รวิวาลย์ ตัดสินใจพูดออกมา เพราะหล่อนไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหกเขาอีกด้วย
และเมื่อพิจารณาดูแล้วชื่อนั้นจึงทำให้ร่างสูงโปร่งของแทนธัตรที่ถือว่าเขาเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันกับที่ หล่อนเอ่ย หากเมื่อชะงักแล้ว เขายังรู้สึกกังขา พร้อมด้วยแปลกใจยิ่งนักกับหญิงสาวที่หล่อนแต่งกายค่อนข้างทันสมัย และไม่ใช่ดูบ้านนอกคอกนาอย่างหญิงสาวทั่วไป ที่เขาเห็นจนชิน
“เอ ถ้างั้น คุณจะไปที่นั่นเพื่อทำอะไร”
เขายังตามมาซักไซ้อีกหล่อนแสนหงุดหงิดเลยทำให้รวิวาลย์รีบตอบออกมาโดยไม่อยากเสียเวลามากมายกับเขา
“ไปหาคน” คำตอบของหล่อนที่กวนไม่น้อย เลยทำให้เขาต้องสะอึกอีกครั้งกับคำนี้และแทนธัตรก็ฉุนกึกขึ้นมา
“ใช่ ผมพอจะรู้ว่าที่คุณจะไปหาน่ะเป็นคนไม่ใช่ ไปหาพวกหมูหมาแมวที่ไหนแต่สิ่งที่ผมอยากจะรู้นั่นคือว่า เขาเป็นคนแล้วชื่ออะไรเพื่อที่ผมจะบอกเส้นทางแก่คุณได้ แล้วคุณจะได้ไม่ต้องมัวหลงทางคลำหาผิดๆถูกๆอีก มันยากนะ อาจจะยอมเสียเวลาตามหาบ้านของเขาสักหน่อย แต่ผมก็ยินดีจะช่วย”
เมื่อเขากล่าวตอบด้วยวาจาที่มีน้ำใจเช่นนี้ ทำให้รวิวาลย์นิ่ง แล้วก็ยิ้มออกมา
จริงด้วยสิหล่อนลืมคิดไปว่าตัวเองเข้ามาในหมู่บ้านนี้แบบคลำหาเส้นทาง เมื่อเขาชายหนุ่มผู้นี้ มายื่นเสนอตัวตรงหน้าแบบเป็นจิตอาสา ที่ดูอายุยังไม่มากเลย ซึ่งจะว่าไป นั้นคิดว่า เขาน่าจะอายุมากกว่าหล่อนสักสามปี ก็น่าจะได้ และอีกอย่างที่เขาแสดงความมีน้ำใจออกมาพร้อมที่จะช่วยเหลือหล่อนในเวลานี้ ทำให้รวิวาลย์ตกลงที่จะบอก “ขอบคุณค่ะ เขาชื่อ นายพงศ์ เอ้อ เคยเป็นคนที่พ่อกับแม่ของฉันชุบเลี้ยงมาก่อนและเขาเคยอยู่ที่กรุงเทพฯ ในสมัยนั้น และอีกอย่างฉันก็รู้พียงว่าเขาเป็นญาติห่างๆกับแม่ของฉัน หลังจากนั้นฉันพอจะสืบรู้มาได้ว่า ตัวเขามาอยู่ที่นี่ และมีครอบครัวอยู่ที่นี่ด้วย คุณพอจะรู้จักไหมคะ” ครั้นเมื่อรวิวาลย์ตอบและเป็นไปตามที่หล่อน ทราบข้อมูลมาด้วยเช่นกัน