กลีบดอกสีส้มอมเพลิงนั้นที่ส่งดอกออกพราวไปทั่วดาษดื่นตามกิ่งก้านสาขาที่ไร้ใบซึ่งในยามเมื่อถึงฤดูแล้งอย่างนี้กลุ่มต้นทองกวาวหรือดอกจานที่กำลังจะผลัดเปลี่ยนใบใหม่และในยามนี้นั้นลมจากชายไร่หอบเอากระแสลมเย็นซ่าน ทั้งหมดเผื่อแผ่ไปถึงเขตหมู่บ้านและพัดพรูเข้ามาในเขต ของคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งนี้ด้วยคฤหาสน์กลางทุ่งที่โดดเด่น งดงามทางสถาปัตยกรรม
และเมื่อเขาแทนธัตรภูสถากรในเวลานี้กำลังนั่งอยู่ใต้โคนดอกจานริมทุ่งต้นที่ว่านี้หากแต่เพราะความแล้ง ทำให้บรรยากาศทั่วไปนั้นดูร้อนรุ่มไปหมดแผ่นดินตามห้วยหนองก็แตกระแหง
แทนธัตร เป็นลูกหลานของชาวไร่ที่นี่ รวมทั้งบริเวณ ที่เขายืนอยู่ก็เช่นกันชายหนุ่มสวมใส่หมวกปีกกว้างสีน้ำตาล และสวมเสื้อเชิ้ตสีตาหมากรุก และมีสีสันเป็นลายสก๊อต รวมทั้งกางเกงยีนสีซีดจนเก่าปอน ข้างกายที่เขายืนอยู่ คือรถจี๊ป กลางเก่ากลางใหม่เป็นยามเช้า ที่เขาตั้งใจจะมาตรวจไร่ ซึ่งเป็นไร่ฝ้ายและไร่ถั่วเขียวอย่างที่สามารถมองเห็นได้ จนสุดลูกหูลูกตาในยามนี้และสีส้มอมเพลิงของดอกไม้ที่มีสีสันบาดอารมณ์ บาดความรู้สึกราวกับกองเพลิงของช่อกลุ่มดอกเหล่านี้สร้างความอัศจรรย์ในเมื่อ มันแต้มแต่งเป็นธรรมชาติเช่นนี้ด้วย
ก็เลยทำให้รวิวาลย์ที่เธอเพิ่งจะขับรถผ่านเข้ามาพบเข้า ในเส้นทางสายนี้ ที่เธอไม่รู้จัก โดยบังเอิญ
และรวิวาลย์ก็เป็นผู้หญิงสาวที่มาจากเมืองกรุง หล่อนไม่เคยเดินทางมาที่ชนบทแห่งนี้เลยสักครั้ง ซึ่งป้ายข้างหน้าที่บอกทางเข้าหมู่บ้าน“พลับพลา”
อากัปกิริยาของหล่อนที่แสดงอาการตื่นตะลึงด้วยการที่รีบเปิดประตูลงจากรถแล้วหมุนกายที่แต่งด้วยกระโปรงสีดำจุดขาวที่หล่อนสวมใส่มาในวันนี้ แสดงความรู้สึกถึงความร่าเริงออกมาจากข้างใน
โดยไม่แคร์สายตาของใครที่ผ่านไปผ่านมาและที่เป็นอย่างนี้รวิวาลย์ก็เชื่อมั่นแน่ว่าหล่อนแสดงออกมาจากจิตลึกๆข้างในที่อาจจะ“ ปล่อย”อะไรที่ดูแปลกจากสายตา ของคนที่นี่อย่างที่เขาเรียกว่า “บ้าเห่อ”
และคงเป็นเช่นนั้นเพราะว่ารวิวาลย์ไม่เคยมีโอกาส ได้ชมดอกไม้ ที่บาดตาบาดใจ สีสันของมันเด่น เป็นราวกับกองเพลิงที่เหมือนกับระยิบระยับเอนไหวเมื่อมองจากที่ไกลๆริมถนนเช่นนี้ และในยามที่สายลมพัดโบกโชยชื่นเข้ามาเป็นระยะพัดปะทะใบหน้าของหล่อนจนสัมผัสได้กับความซ่านเย็นที่ลูบไล้ผ่านเนื้อตัวกับรสสัมผัส และกระแสลมแรงยังบาดเข้าไปที่พวงแก้มของผิวที่ขาวผ่องและแสนจะบอบบาง และกิ่งก้านของมันได้ไหวเอนไปตามแรงลมที่พัดกระหน่ำ
อยู่ในท่ามกลางอุ่นไอของธรรมชาติเบื้องหน้าสายตาของหญิงสาวผู้มาจากเมืองกรุงรวิวาลย์ยังคงจ้องมองภาพของช่อพวงพราวอมส้มเพลิงที่ระย้าย้อยของดอกไม้ชนิดนี้ซึ่งแต้มบานอยู่บนกิ่งก้านสาขาแบบไม่วางตาและลุ่มหลง เธอบอกกับตัวเองว่าไม่เคยรู้จักดอกไม้ชนิดนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ เพราะชีวิตที่ผ่านมาโดยตลอดนั้น เธอหมกมุ่นอยู่แต่กับห้องสี่เหลี่ยมชนิดหรูติดแอร์ และผิวกายแทบไม่ได้พบพานกับไอแดด
แต่ที่กล้าเดินทางมาไกลอย่างนี้เพราะมีกิจธุระที่จำเป็นจริงๆไม่อย่างนั้น เธอคงไม่เสียเวลา และเอาตัวเอง มาเสี่ยงอย่างนี้ แต่ว่าหญิงสาวยังมีผู้ที่ติดตามหล่อนมาอีก 3-4คน ซึ่งคนเหล่านั้น ถือว่าเป็นคนของบิดา ที่มีคำสั่งให้ดูแลและปกป้องเพื่อคุ้มครองคุณหนู”อย่างหล่อน และเพื่อให้สู่ที่พักอย่างปลอดภัยทั้งการเดินทางในระหว่างขาไปและขากลับ ซึ่งรวิวาลย์ไม่ได้คาดหวังต่อคนเหล่านี้มาก
อุปนิสัยของหล่อนที่ทั้งแสนดื้อเอาแต่ใจตัวเองอย่างมากซึ่งบิดาที่เลี้ยงดูหล่อนนั้นรู้ดีที่สุดนับตั้งแต่คุณวิวรณ์มารดาบังเกิดเกล้าของงรวิวาลย์เสียชีวิตเมื่อหกปีที่แล้วและการสูญเสียในครั้งนั้นได้นำพาไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตของรวิวาลย์ไปแบบชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
ทำให้รวิวาลย์เกือบช็อกเพราะเรื่องนี้มันเกินกว่า ที่เด็กหญิงอายุสิบสี่อย่างเธอจะรับได้
“ไยหนอ ท่านมัจจุราช จึงได้โหดเหี้ยมมาพรากพร่า เอาคนที่รักสุดหัวใจ ออกไปจากลูกสาวตัวน้อย”
ซึ่งเมื่อตอนเด็ก รวิวาลย์มักแต่เหลียวมองหาอ้อมแขนที่อบอุ่นของมารดาเสมอยามที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
พร้อมด้วยรวิวาลย์แอบบ่นพร่ำและตัดพ้อถึงเรื่องเหล่านี้ ที่คิดว่า สวรรค์ไม่เป็นธรรมและมักอยุติธรรมสำหรับหล่อน ซึ่งทำให้หล่อนต้องพบกับความเจ็บปวด รู้สึกเหงา และเหมือนอยู่ในโลกใบนี้เพียงคนเดียว
แม่เป็นทุกอย่างในชีวิตทั้งโอบอุ้มประคองและ คอยสอนตักเตือนทั้งดูแลอบรมบ่มนิสัยคิดว่าหากในอนาคตของวันข้างหน้ารวิวาลย์เป็นผู้ใหญ่และต้องเป็นเพศแม่ ตัวเธอนั้นจะทำได้เท่าเทียมหรือแค่เท่าขี้เล็บร่วงๆของแม่ หรือเปล่า?
หากรวิวาลย์เคยตั้งคำถามนี้กับตัวเองแต่มันก็เงียบหายกลายกลืนเข้าไปข้างในความรู้สึก จนแทบไม่มีคำตอบ และเป็นเช่นนี้ไปเสียแทบทุกครั้ง เพราะรวิวาลย์ขลาดกลัว และเขลากับคำตอบที่ตัวเองนั้นมักทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง นั่นคือ มันคือปมด้อย ที่เกิดกลางใจของหญิงสาว จนหล่อนไม่อยากตอบคำถามนี้ให้กับใครรวมไปถึงตัวเองด้วย
และรวิวาลย์ก็พยายามที่จะเก็บมันไว้ในใจและซุกซ่อนมันเอาไว้ในใจลึกๆที่สุดท่ามกลางความเงียบเหงา และโดดเดี่ยวของใจนั้น หากรวิวาลย์จะรู้สึกเช่นนี้ ในทุกครั้งเมื่อหล่อนจะต้องผจญอยู่กับสิ่งรายรอบที่มีแต่ผู้คน แปลกหน้าต่างสถานที่ และไม่คุ้นเคยรู้จักกันมาก่อน
และยิ่งนาน ผ่านไปเป็นนาทีก็ยิ่งจะจมปลัก เพราะอยู่ในความเงียบสนิท และสงัดงันมากยิ่งขึ้น รวมทั้งแทบ จะไม่เปิดใจรับรู้ให้กับสรรพสำเนียงใดๆนี่เป็นการปิดขัง ประตูใจของตัวเองเอาไว้โดยปริยาย แต่แปลกใจ รู้สึกคลับคล้ายกับว่า ใกล้ๆหล่อนนั้น มีสายตาคมคู่หนึ่ง กำลังจับจ้องมองมาที่ร่างของเธอ เลยทำให้รวิวาลย์เกิดความเขิน และหยุดการกระทำที่เหมือนกับเต้นแร้งเต้นกาในเวลานี้ เพราะชักจะเกินความสนุกของหล่อน อย่างอัตโนมัติ แล้วจากนั้นเมื่อรู้สึก เธอก็จ้องกลับไปที่ ตรงนั้น ที่ใครไม่รู้แอบมองจ้องหล่อน อยู่แบบไม่มีมารยาท