โครม!
เพราะมัวแต่มองทำให้ไม่ทันระวัง หลุมขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าทำให้เขาเบรกรถ หรือหักหลบไม่ทัน ล้อรถข้างหนึ่งตกลงไปในหลุมลึก ศีรษะของหญิงสาวฟาดกับกระจกข้างๆ อย่างจัง
โอ๊ย!
หญิงสาวร้องเสียงหลง คราวนี้เธอเจ็บจริงๆ
“ผมขอโทษครับ เจ็บหรือเปล่า” ชายหนุ่มบอกอย่างร้อนรน
จะบอกได้อย่างไรเล่าว่าเขามัวแต่มองเธอเพลินจนลืมมองถนนด้านหน้าไปเสียสนิท ที่ทำได้ดีที่สุดคือขอโทษอย่างนอบน้อม
“โขกขนาดนี้เจ็บสิถามได้ นายลองมาโขกดูมั้ยล่ะ”
“ถนนมันเป็นอย่างนี้จริงๆ ครับ หลีกเลี่ยงไม่ทัน ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณเจ็บนะครับ ผมขอโทษมากๆ”
หญิงสาวพยักหน้าเหมือนไม่ได้ถือโทษโกรธเขา เพราะเธอเห็นถนนเบื้องหน้ามีหลุมมีบ่อสลับกันทุกระยะถ้าจะให้วีนทุกเรื่องก็คงจะไม่ใช่
“ขับระวังๆ หน่อยก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มอมยิ้มหลังพวงมาลัย โดยที่หญิงสาวไม่มีโอกาสได้เห็น ที่จริงถนนเข้าเหมืองปราณปุราไม่ได้เลวร้ายมากขนาดนี้ถ้าหากเขาไม่ได้จงใจใช้เส้นทางหลีกเลี่ยง เพียงเพราะอยากสอนบทเรียนให้เธอเล็กๆ น้อยๆ และคงใช้เวลาอีกนานกว่าจะถึงที่เหมือง หญิงสาวต้องผ่านบททดสอบอีกเยอะ
ขับมาได้อีกสักระยะชายหนุ่มก็หยุดรถ หญิงสาวถามอย่างแปลกใจอีกครั้ง เพราะคิดว่าถึงที่แล้ว แต่เมื่อเห็นว่ายังไม่เข้าเขตเหมือง หญิงสาวก็ถามอีกครั้ง
“หยุดรถทำไม” เธอถามอย่างหวาดกลัว ต่อให้เก่งแสนเก่งแค่ไหน พอให้มาอยู่กับผู้ชายกลางป่ากลางเขาอย่างนี้เธอก็อดกลัวไม่ได้ แม้จะรู้ว่าเขาเป็นคนงานของที่เหมือง แต่คนสมัยนี้ก็ไว้ใจไม่ได้เต็มร้อย
“มีต้นไม้หักพาดถนนข้างหน้า เราคงต้องช่วยกันดันต้นไม้ต้นนั้นออกจากทางเสียก่อน”ชายหนุ่มบอกหญิงสาวเสียงเรียบ
คำว่าเราทำให้หญิงสาวชี้มือเข้าที่หน้าอกตัวเองถามย้ำ“ เรา...
หมายถึงฉันด้วยหรือ ฉันเป็นเจ้านายเธอนะ”
“เท่าที่ผมรู้ผมมีเจ้านายคนเดียว คนอื่นผมไม่นับ ที่ไปรับคุณเพราะได้รับคำสั่งจากเจ้านายเท่านั้น และตอนนี้ต้นไม้ก็ขวางทางเราอยู่ ถ้าคุณไม่ยอมช่วยเราก็จะอยู่ด้วยกันสองคนในป่าก็ได้ อันนี้ก็แล้วแต่คุณจะเลือกนะว่าอยากอยู่กับผมหรืออยากไปให้ถึงที่เหมืองเร็วๆ”
“คนที่เหมืองไม่สอนมารยาทหรือไง ลามปาม!”
“ที่เหมืองเราทำงานหนักครับ เรื่องมารยาทผู้ดี ลืมไปได้เลยไม่มีเวลามาสอนกันหรอก เพราะไม่คิดว่าจะมีผู้ดีมาอยู่ด้วย” ชายหนุ่มตอบกลับหน้าตาย
“แล้วความเป็นสุภาพบุรุษมีไหม นายเป็นลูกน้อง และที่สำคัญนายเป็นผู้ชาย ส่วนฉันเป็นผู้หญิง”
“ผู้หญิงสมัยนี้ก็แปลก เรื่องบางเรื่อง...เรียกร้องความเสมอภาค แต่พอจะขอความช่วยเหลือกลับยึดถือคำว่าสุภาพบุรุษและแบ่งแยกความเป็นชายหญิงเสียอย่างนั้น”
“นอกจากจะไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษแล้ว ปากนายก็ร้ายกาจมากที่สุดเท่าที่ฉันรู้จักมา”
ชายหนุ่มหันกลับมามองหญิงสาวนิ่ง เสนอทางเลือกให้เธออีกข้อ
“อันนั้นก็แล้วแต่คุณหนูนะครับ ถ้าคุณจะเดินไปก็เหลือระยะทางอีกราว 3 กิโลเมตร ตรงนี้เป็นเขตรอยต่อระหว่างไร่พอดี แต่ก็พึ่งอะไรไม่ได้มาก เพราะแถบนี้มีแต่พม่าเพื่อนผมทั้งนั้น ถ้าปล่อยให้มืดและพวกนั้นผ่านมาเห็น พวกเขาฉุดคุณไปทำมิดีมิร้าย ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้ หน้าตาอย่างนี้ ยิ่งสมบัติเยอะแบบนี้พวกนั้นยิ่งชอบ” ชายหนุ่มบอกแกมขู่ข่าวนี้
เขาส่งสำเนียงและใช้ภาษาพม่าสลับไทยเช่นเดิม
เพราะชีวิตของเขาสัมผัสกับแรงงานต่างด้าวพวกนั้นทำให้ชายหนุ่มต้องเรียนรู้ภาษา พูดและทำความเข้าใจเพื่อที่จะได้รับรู้มุมความคิดของพวกเขา ทั้งที่พูดได้แต่ชายหนุ่มก็ไม่ค่อยพูดกับคนงานมากนักหากไม่ใช่กรณีจำเป็นที่ต้องสื่อสารเป็นภาษาพวกเขา แต่ตอนนี้เขาเลือกที่จะใช้ภาษานั้นกับมิรา
หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มอย่างไม่ค่อยเชื่อใจ ถ้าเขาเป็นคนไทยก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้คนขับรถกลายเป็นคนเชื้อชาติพม่าเข้าให้ เธอไม่ควรเสี่ยงด้วยประการใดทั้งปวง
“อ๊าย จริงหรือ” หญิงสาวรีบลนลานลงมาจากรถทันที
“จะให้ฉันช่วยอะไร” ผู้หญิงในชุดแต่งกายไม่ต่างจากแฟชั่นวีคในมิลาน ชายหนุ่มไม่เคยรู้หรอกว่า ผู้หญิงเมืองนอกเมืองกรุงเขาแต่งตัวกันอย่างไร แต่สำหรับเขา...เพียงแค่เห็นผู้หญิงยืนอยู่บนส้นรองเท้า 12 เซนติเมตร เขาก็เหนื่อยแทนพวกเธอแล้วและผู้หญิงตรงหน้าก็กำลังทำให้เขาเหนื่อยเช่นกัน
ชายหนุ่มเหลือบสายตามองรองเท้าส้นแหลมของหญิงสาว รองเท้าสีทองมันวาวตัดกับพื้นผิวสีแดงได้ดีเยี่ยม ยิ่งขับผิวเนื้อเท้าขาวสะอาดของเธอให้ดูชวนมองมากขึ้น ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นผู้หญิงขาว ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นผู้หญิงสวย เพราะบ้านเกิดเมืองนอนเขาอยู่เชียงใหม่ ผ่านผู้หญิงขาวสวยมานับไม่ถ้วน
“คุณจะใส่รองเท้าอย่างนี้นี่หรือ ผมว่าคงไม่เหมาะนะครับ” ชายหนุ่มถาม
“แต่ฉันจะใส่ นายจะให้ฉันถอดหรือไง”
ปถวียื่นรองเท้าแตะของตัวเองที่อยู่ในรถให้เธอ “ผมมีรองเท้าแตะ”
หญิงสาวมองเหยียดๆ “ไม่ล่ะ”
“อันนั้นก็แล้วแต่คุณครับ ผมแค่แปลกใจ ผู้ดีเขาสวมรองเท้าส้นสูงขนาดนี้ลากต้นไม้บนพื้นผิวแบบนี้”
หญิงสาวย่นจมูกหน้าเชิดอย่างมั่นใจ สื่อความหมายจากภาษากายว่าถ้าฉันจะใส่ ใครจะทำไม ให้เธอเดินเท้าเปล่าบนดินแบบนี้ เธอยอมตายดีกว่า
“ไม่ต้องพูดมากจะให้ช่วยทำอะไรก็ว่ามา” ชายหนุ่มอมยิ้มน้อยๆ ที่จริงเขาต้องการสอนบทเรียนให้เธอเท่านั้น ต้นไม้ต้นนี้เขาเพียงใช้มือข้างเดียวเกี่ยวมันออกก็สามารถขว้างให้พ้นทาง และที่สำคัญต้นไม้ต้นนี้มันไม่ล้มลงมาเองเหมือนอย่างที่หญิงสาวเข้าใจ
“มาช่วยผมลากต้นไม้ต้นนี้ออกไปจากถนน”
“นายจะใช้ฉันจริงเหรอ” หญิงสาวถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรเธอก็คือนายจ้างคนหนึ่ง
ชายหนุ่มเพียงพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินข้ามไปดึงต้นไม้อีกฝั่ง ไม่ลืมหันมามองหญิงสาวและพยักพเยิดให้เธอ “เอา!...มาสิคุณ” เขาเรียกซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นหญิงสาวยังยืนอยู่ที่เดิม
“ฉันเป็นเจ้านายนะ” หญิงสาวบอกย้ำอย่างที่ใจเธอคิด แต่เธอกลับเห็นอีกคนยิ้มอย่างไม่ยี่หระ สำหรับมิรา เขาเป็นลูกน้องที่กวนประสาทที่สุด เอาไว้ให้เธอเข้าไปในเหมืองได้ก่อน เธอจะจัดการพวกลูกน้องผยองพวกนี้ไม่ให้เป็นคนไร้สัมมาคารวะอย่างนี้
“ผมไม่ได้บังคับคุณนะครับ” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับออกแรงดึง จริงๆ แค่แกล้งออกแรงดึงให้ดูเหมือนหนัก ทั้งที่เขาสามารถเหวี่ยงมันออกไปด้วยมือเพียงข้างเดียว
หญิงสาวเดินสะบัดสะบิ้งไปลากกิ่งไม้ข้างหนึ่ง ทั้งที่คนมองประเมินด้วยสายตา สิ่งที่เธอกำลังทำเรียกว่าจับมากกว่าช่วยดึงก็ตาม แต่ก็เป็นที่พอใจของคนต้องการแกล้งอย่างเขา
เพียงไม่นานกิ่งไม้กิ่งนั้นก็ถูกลากออกให้พ้นทาง โดยแรงของชายหนุ่มเพียงคนเดียว แต่อีกคนกลับเอาหน้าเสียดื้อๆ
“ถ้านายไม่มีฉันสักคน ไม่มีทางจะได้กลับหรอก”
“ครับ” ชายหนุ่มตอบรับสั้นๆ ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปรอที่รถ ไม่รอหญิงสาว
“นี่นาย!” หญิงสาวแหวตามหลัง เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ได้สนใจเธอสักนิด ทั้งที่เป็นคนช่วยเขาแท้ๆ แต่จะมีมารยาทขอบคุณก็ไม่มี หนำซ้ำยังขึ้นรถไปก่อน ไม่รอเจ้านาย
ความโมโหทำให้หญิงสาวจ้องแผ่นหลังของคนเดินนำไปก่อนด้วยความโกรธ ทำให้เธอลืมมองพื้นถนนที่ขรุขระ บวกกับส้นรองเท้าสิบสองเซนติเมตรคงไม่เหมาะสมกับสภาพพื้นผิวแบบนี้
รองเท้าส้นแหลมของมิราสะดุดกับแอ่งหลุมบนพื้นที่ต่างระดับทำให้หญิงสาวเสียการทรงตัว ปลายส้นบางเฉียบที่ถูกออกแบบมาสำหรับพื้นเรียบไม่สามารถรองรับน้ำหนักตัวของหญิงสาวได้ ในที่สุดมันก็หักและพาเจ้าตัวล้มลงไปกองอยู่ในแอ่งหลุมดินลูกรังสีแดง