Chapter 3
“ปู่เล็ก” หญิงสาวร้องอย่างตกใจ
“เราพูดกันด้วยเหตุและผลนะมิรา” น้ำเสียงของเจ้าสัวปราณเข้มขึ้น
“ปู่เล็กจะมามัดมือชกแบบนี้ไม่ได้ มิราไม่ยอม”
“ปู่บอกแล้วยังไงล่ะ! มิราจะแต่งหรือไม่แต่งก็ได้…” เจ้าสัวเปิดระยะให้หญิงสาวได้คิด เดินตรงมาหาหญิงสาวพร้อมกับยกสองมือวางบนบ่าของเธอบีบเบาๆ
“แกเป็นคนฉลาด ลองกลับไปคิดดูอีกครั้ง ถ้าแต่ง! ครบสองปีก็ได้สมบัติสองส่วนคือส่วนของปถวีด้วย นั่นเป็นการเอาคืนที่ชาญฉลาด หากแกไม่อยากให้เขาได้อะไร หรือถ้าไม่แต่ง สมบัติจะถูกแบ่งให้ปถวีหนึ่งส่วน และแกก็จะยังได้ในส่วนของปู่ปุราตามพินัยกรรม แต่อีกส่วนเป็นของปู่ซึ่งก็จะตกเป็นของภรรยาและลูก ทายาทโดยชอบธรรมของปู่” ชายชราบอกด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
“ไม่ได้! มิราไม่ยอมให้สมบัติไปตกอยู่ในมือปลิงเปลือกทองอย่างหมอนั่นเด็ดขาด”
“งั้นแกก็ต้องแต่ง” ชายชรายื่นคำขาด
“ไม่” มิราตอบกลับด้วยระดับน้ำเสียงไม่แตกต่างกัน
เจ้าสัวปราณสบตาหลานสาวบอกด้วยน้ำเสียงเน้นหนัก เพิ่ม
ทางเลือกให้หญิงสาวอีกทาง
“ปู่ให้ทางเลือก แกจะจดทะเบียนเงียบๆ หรือ จัดพิธีใหญ่โตที่สุดแต่ไม่ต้องจดทะเบียนก็ได้ แต่ทุกอย่างต้องบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรและมีสัญญาอย่างถูกต้องจากทนายความประจำตระกูล” เจ้าสัวปราณบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่ต่างจากเดิม
ในแววตาของเจ้าสัวไม่ได้มีอาการยินดียินร้ายใดๆ ทุกความรู้สึกถูกซุกซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย กับรอยหยักลึกของริ้วรอยที่มีมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้ผลอีกต่อไป มิราก็เปลี่ยนกลับมาใช้ลูกอ้อนเหมือนเคย
หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ เหมือนยอมรับทุกเหตุผล กอดต้นแขนและยิ้มบางให้คนเป็นปู่ ก่อนจะซบใบหน้าลงอย่างออดอ้อน
“มิราของพักให้หายเหนื่อยและได้คิดทบทวนก่อนได้ไหมคะ อยากรู้จักย่าเล็ก อาเล็กและอาใหญ่ให้มากกว่านั้น” หญิงสาวเน้นย้ำคำว่าอาใหญ่หนักแน่น ในแววตาซ่อนรอยอาฆาตเอาไว้ โดยที่คนเป็นปู่ไม่มีโอกาสได้เห็น
เธอเพียงต้องการเวลาที่จะคิดหาทางกระชากหน้ากากของคนพวกนั้นออก แน่นอนว่าคนฉลาดอย่างเธอคงใช้เวลาคิดแผนไม่นาน
เจ้าสัวลอบยิ้มพอใจ ทุกอย่างเข้าแผนของเขาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะอย่างไรเขาต้องหาทางดัดนิสัยร้ายๆ ของหลานสาวคนนี้ ก่อนที่เธอจะหลงระเริงจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ดูว่าวัยขนาดนี้ยังไม่มีท่าทีจะมีแฟนกับเขาสักคน
“งั้นก็ไปพักผ่อนก่อนเถอะ ปู่จะเลื่อนเวลานัดทนายออกไปให้อีกสักสัปดาห์ เผื่อเวลาให้แกได้ตัดสินใจว่าอยากได้เพียงส่วนเดียวหรือสองส่วนกันแน่” คนเป็นปู่บอกเสียงเนิบนาบ แต่ก็ยังเร่งระยะเวลาให้อยู่ในกรอบกระชั้นชิดอยู่ดี เขาไม่อยากปล่อยเวลาให้หลานสาวได้ตั้งตัว เพราะถ้าขืนปล่อยให้เธอได้ตั้งหลักวางแผนทัน เธอคงสร้างเรื่องคงป่วนให้ปวดหัวอีกหลายเรื่อง
“สักเดือนไม่ได้หรือคะ” หญิงสาวต่อรอง
“ไม่ได้หรอก ปู่ต้องไปบ้านสวนคุณผิงที่เชียงใหม่ ทุกฤดูหนาวปู่ต้องไปอยู่ที่นั่น และกำลังวางแผนเอาไว้ หากจัดการทุกอย่างเสร็จจะย้ายไปอยู่ที่นั่นอย่างถาวร” เจ้าสัวปราณรีบตัดบท
“แต่...ปู่เล็ก” หญิงสาวเตรียมอ้าปากจะค้านต่อ หากมือหนักๆ ของปู่เจ้าสัวปราณก็วางทับเอาไว้บนบ่าหลานสาวและพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ตามนั้นนะมิรา...ปู่ยังรักมิราที่สุด และมั่นใจว่าทิ้งสมบัติไว้ให้มิรามากเกินกว่าที่จะใช้หมดในชาตินี้”
“ค่ะ” มิราตอบรับเสียงเบา แม้ในใจจะคัดค้านสุดฤทธิ์
“แล้วอาเล็กกับอาใหญ่ของมิราไปไหนเสียล่ะคะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องแต่ก็ไม่วายเหน็บแนม อาใหญ่ก็คงจะหมายถึงปถวี ส่วนอาเล็กก็คงหนีไม่พ้นเด็กฝาแฝดสองคนในวัย 6 ขวบที่มีศักดิ์เป็นอาของเธอตามลำดับญาติ
“น้องๆ ไปโรงเรียนยังไม่กลับ ส่วนปถวีก็อยู่ที่ฟาร์ม หรือว่าเหมืองปราณปุรานั่นแหละ” ชายชราเปลี่ยนสรรพนามเรียกขานลูกสาวสองคนให้หญิงสาว แต่ชื่อของคนในประโยคหลังเขาบอกด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
หญิงสาวแอบเบือนหน้าเบ้ปากเบื่อๆ ยิ่งย้ำร้อยอาฆาตเอาไว้ แต่เธอก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติและหันกลับมาบอกปู่เล็กของเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“อย่างนั้นเองหรือคะ เมื่อไม่ได้เจอใครมิราขอตัวก่อนนะคะ อยากพักเต็มที”
เจ้าสัวพยักหน้าให้หลานสาว มองตามแผนหลังเธอด้วยแววตามุ่งมั่น หวังว่าปถวีจะช่วยดัดนิสัยดื้อรั้นไม่ยอมใครของมิราลงได้บ้าง
บนโต๊ะอาหารของบ้านในเช้าของวันถัดมา เจ้าสัวนั่งจิบกาแฟเพียงลำพังอยู่ที่หัวโต๊ะ มิราลากกระเป๋าใบเขื่องที่ไม่แตกต่างจากสภาพขนย้ายเมื่อวานเดินลงมาด้วย
“คนบ้านนี้ยังไม่ตื่นหรือคะ” หญิงสาวทักกึ่งเหน็บแนม ทั้งที่ปกติเวลาไม่มีงาน ตัวเองก็ไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นสักครั้ง
แต่เพราะความเคยชินกับสภาพอากาศของมิลานที่เวลาช้ากว่าเมืองไทยห้าชั่วโมง ทำให้เช้านี้ที่เมืองไทยของเธอเกิดขึ้นเช้ากว่าปกติ หรือจะพูดได้เต็มปากว่าเธอไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ตั้งแต่เมื่อคืน
หญิงพยายามคิดหาแผนเด็ดๆ ที่ทำให้คนพวกนั้นกระเด็นออกไปจากบ้านโดยที่ตัวเธอยังคงสภาวะนางเอกแสนดี แม้กระทั่งหาเบอร์โทรศัพท์ที่เหมืองและโทรไปสั่งให้ปถวีส่งคนมารับ ทั้งที่สามารถให้รถที่คฤหาสน์ไปส่งได้ แต่เพราะอยากประกาศให้ปถวีรู้ว่าเธอเป็น
เจ้าของตัวจริง และมีอำนาจมากที่สุด
เจ้าสัวละสายตาออกจากหนังสือพิมพ์ในมือ เขาพับและวงมันลงบนโต๊ะอาหาร ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองหลานสาว ถามด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
“ถามเหมือนกำลังจะหาเรื่อง ต้องการคำตอบหรือเปล่าละ”
“ถาม...ก็ย่อมต้องการคำตอบสิคะ”
ชายสูงวัยที่นั่งอยู่หัวโต๊ะพยักหน้าเบาๆ “คุณผิงกำลังแต่งตัวให้เด็กๆ ไปโรงเรียน” เขาตอบก่อนที่จะกวาดสายตามองหลานสาวและกระเป๋าอีกหลายใบของเธอ
“แล้วนั่นเราจะไปไหน หรือจะไปเที่ยวพักผ่อนกับเพื่อน” เจ้าสัวถามอย่างแปลกใจ มิราเพิ่งกลับมาเมื่อวาน แต่ตอนนี้เธอก็กำลังลากกระเป๋าราวกำลังอพยพ ไม่แตกต่างจากเมื่อวานสักเท่าไร
“เปล่าค่ะ”
“หรือเราจะกลับมิลาน”
“ไม่อีกนั้นแหละค่ะ”
“แล้วจะไปไหนล่ะ” ชายสูงวัยถามเสียงอ่อน
“มิราจะไปเหมือง” เหมืองที่มิรากำลังพูดถึงคือเหมืองปราณปุรา ซึ่งตอนนี้กลายเป็นฟาร์มปศุสัตว์ครบวงจรไปแล้ว
“ไปทำไม” เจ้าสัวถามอย่างแปลกใจ มองภาพไม่ออกว่ามิราจะไปที่เหมืองทำไมตอนนี้ เขาประเมินเอาไว้คร่าวๆ ว่ามิราต้องเหวี่ยงโวยวายบ้านแทบพัง จนต้องเตรียมวางแผนตั้งรับเอาไว้เนิ่นๆ แต่กลับผิดคาดจากที่เขาคิดไปมาก
เจ้าสัวปราณไม่เคยคิดเอาไว้ว่าหลานสาวจะไปที่เหมืองเก่าปราณปุรา จากที่รู้จัก...มิราเกลียดไอแดดเป็นที่สุด และที่สำคัญเธอไม่เคยได้เหยียบย่างกลับไปนับตั้งแต่วันที่เขาพาก้าวออกมา
“มิราก็อยากเห็นอาณาจักรที่มันสมควรจะเป็นของมิราทั้งหมด แต่วันนี้มันจะตกเป็นของคนอื่น มิราอยากไปไหว้บรรพบุรุษและขออโหสิกรรมพวกท่านเหล่านั้น”
เจ้าสัวพยักหน้าหงึกๆ ตอนนี้เขาคงเตรียมแผนรับมือไม่ทัน ได้แต่หวังว่าปถวีจะจัดการทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
“จะไปอย่างไร ให้รถที่บ้านไปส่งไหม”
“มิราโทรไปเรียกรถที่เหมืองมารับแล้วค่ะ” หญิงสาวยกข้อมือดูนาฬิกา “อีกไม่ถึงสิบนาทีคงมาถึง เพราะมิราสั่งไว้ว่าห้ามเลทแม้แต่วินาทีเดียว”
เจ้าสัวปราณยิ่งแปลกใจหนัก ไม่คิดว่าเพียงข้ามคืนมิราจะจัดการทุกอย่างได้เร็วขนาดนี้ แน่นอนว่าเมืองกาญจน์ไม่ไกลจากกรุงเทพ ขับรถไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง แต่แปลกใจที่เขาไม่รู้เรื่องมาก่อน
“ปู่ไม่ยักรู้ เราติดต่อที่นั่นเมื่อไรกัน”
“ถ้ารู้ก่อน มันจะไปสนุกอะไรค่ะ คนอย่างมิราอยากรู้อะไรก็ต้องรู้ หวังว่าปู่เล็กจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับช่วงเวลาที่มิราขอเอาไว้” หญิงสาวดักทางเอาไว้ก่อน
“โอเค” ชายสูงวัยหัวโต๊ะอาหารบอกออกไป เห็นมิรามุ่งมั่นอย่างนี้น่าจะเป็นเรื่องดี และเขาก็เชื่อมือปถวี แต่ยังไม่ทันที่เจ้าสัวจะได้พูดอะไรต่อ สาวใช้เดินเข้ามาขัดจังหวะ เชิญหญิงสาวออกไป
“ขอประทานโทษค่ะท่านเจ้าสัว” สาวใช้บอกอย่างนอบน้อม ก่อนที่จะหันไปบอกกับคุณหนูใหญ่ของบ้าน แม้เธอจะเป็นคนที่อยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่กิตติศัพท์ของคุณหนูคนนี้ก็เลื่องลือให้เธอกลัวทุกครั้งที่เข้าใกล้
“คุณมิราค่ะ รถที่เหมืองมาถึงแล้วค่ะ”
หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงรับรู้ก่อนจะเชิดหน้าตอบ “อืม...ให้คนขับรถมายกกระเป๋าฉันออกไปด้วย”