Chapter 2
หญิงสาวก้าวเดินไปบนพื้นทรายขัดหยาบสีครีมเข้มที่โรยตัวเข้าสู่ตัวบ้าน แต่อีกเพียงไม่กี่ก้าวของเธอที่จะเดินถึงตัวคฤหาสน์ ก็มีเสียงรถ หญิงสาวชะงักเท้าและหันกลับไปมอง เห็นรถตู้สีขาวคันหรูก็วิ่งผ่านเข้ามาตัวบ้าน มันเคลื่อนผ่านหน้าเธอไปอย่างช้าๆ จนสามารถมองเห็นด้านใน สายตาของหญิงสาวจับจ้องคนที่นั่งเชิดหน้าชูคออยู่ในรถตู้ที่ผ่านหน้าไปอย่างเคียดแค้นจนกระทั่งทุกอย่างผ่านหน้าเธอและเพิ่มระยะห่างออกไป
คนขับรถตู้หยุดรถที่หน้าคฤหาสน์และรีบวิ่งออกมาเปิดประตูให้คนข้างในเดินออกมา ในจังหวะที่มิราเดินไปถึงในเวลาที่ไม่ห่างกันมาก
เจ้าสัวก้าวออกมาก่อนและยื่นมือไปรับผู้หญิงที่อยู่ในรถ ประคองออกมาอย่างทะนุถนอม ส่งขึ้นจนกระทั่งพ้นบันไดสามขั้นหน้าคฤหาสน์ ไม่ได้สนใจคนที่อยู่ข้างนอกรถแม้แต่นิด หรืออาจจะยังมองไม่เห็นเธอด้วยซ้ำ คนยืนมองเบ้หน้าเหยียดริมฝีปากอย่างน้อยใจ
ใบหน้าเชิดหยิ่งของภรรยาเจ้าสัวติดตาและฝังลึกลงไปในหัวใจของหญิงสาวราวกับต้องการจารึกความริษยาเอาไว้ เธอเกลียดตั้งแต่แรกพบ ที่จริงต้องบอกว่าเกลียดตั้งแต่รู้จักชื่อก็ว่าได้ แต่พอได้เจอหน้าก็ยิ่งเกลียดมากขึ้น
หลังจากที่เจ้าสัวปราณส่งภรรยาขึ้นบ้านเรียบร้อย เขาก็หันกลับมามองหลานสาวพร้อมกับก้าวลงมาอยู่ในระดับพื้นเดียวกันกับเธอ
“กลับมาแล้วหรือมิรา” ชายสูงวัยถามด้วยเสียงราบเรียบ ไม่ได้บ่งบอกถึงอาการดีใจแต่อย่างใด
“ปู่เล็ก...” หญิงสาวเรียกชื่ออีกคนเสียงแผ่วแผ่ว น้ำตาของเธอ
พานจะไหลออกมาเสียดื้อๆ เธอเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างปู่เล็กก็เห็นรอยยิ้มมุมปากเล็กๆ ของอีกฝ่าย
น้ำตาที่พานจะรินไหลออกมาถูกกดเอาไว้ เธอพยายามข่มกลั้นความรู้สึกทั้งหมดและกลืนลงคอไปก่อน เพราะไม่อยากให้ใครได้เห็นความอ่อนแอ และหัวเราะเยาะสมน้ำหน้าเอาได้ โดยเฉพาะคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นศัตรูของเธอ
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึง 5 นาทีกลับยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของคนเป็นหมาหัวเน่าได้อย่างชัดเจน เมื่อเห็นอย่างนี้เธอก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ผักพายรายงานไปมีโอกาสเกิดขึ้นได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ และนั่นเป็นสิ่งที่เธอจะไม่ยอมเด็ดขาด โดยที่เธอไม่รู้ว่าทุกขอมูลที่เธอได้รับมีเบื้องหลังแอบแฝง
“ไหว้ย่าเล็กก่อนสิ” เจ้าสัวเดินกลับขึ้นไปสมทบและประคองเมียสาวที่ยืนอยู่บนพื้นเสมอตัวบ้าน ทอดสายตามองหญิงสาวที่ยืนต่ำกว่า “ย่าผิง หรือ เมขลาเป็นเมียของปู่เล็ก” เจ้าสัวแนะนำภรรยาอย่างภูมิใจ
หญิงสาวเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง เสหน้าหันไปมองทางอื่นเพื่อหลบซ่อนรอยน้ำตาที่กำลังรืนเอ่อขึ้นมาอีกรอบ ทั้งที่เธอพยายามขบกลั้นสติอารมณ์ของตัวเอง ไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น
เธอไม่สนใจที่จะทำตามที่ปู่เล็กของเธอสั่ง เหมือนเป็นอาการประท้วงที่ใครๆ ในบ้านก็รู้ดี มิราไม่เคยยอมใคร
เพราะเธอ...เป็นหลานคนเดียว เป็นทายาทคนเดียวของตระกูล อีกหนึ่งคือเธอถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ เพราะปู่เล็กของเธอต้องการชดเชยให้เด็กกำพร้าคนนี้อย่างเต็มเปี่ยม แต่ก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นการ
รังแกหลานทางอ้อมอย่างสิ้นเชิง
มิรากลายเป็นเด็กมุ่งมั่นเอาแต่ใจ เชื่อมั่นในตัวเอง ถือดีและทิฐิมานะสูงเป็นที่หนึ่ง หากสิ่งไหนที่เธอเชื่อว่าถูกเธอจะต้องหาเหตุผลหักล้างทำให้คนอื่นเชื่อว่าเป็นจริงอย่างที่เธอคิด และถ้าหากสิ่งไหนที่ขัดใจเธอตั้งแต่ต้นเธอก็จะก่อกำแพงต่อต้านอย่างสุดพลังเช่นกัน
มือเล็กของเมขลาบีบข้อมือเจ้าสัวอย่างให้กำลังใจ เธอส่งยิ้มอ่อนโยนให้สามี
เจ้าสัวยิ้มน้อยๆ ตอบรับ พยักหน้าบอกให้ภรรยาเดินเข้าบ้านไปก่อนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณเข้าบ้านไปก่อนนะ”
เมขลาก็ทำตามอย่างว่าง่าย หลังจากลับหลังภรรยาเจ้าสัวปราณก็เดินลงมาหาหลานสาวอีกครั้ง
“ขอปู่เล็กกอดที คิดถึงหลานมาก” เจ้าสัวยกมือกางแขนออกให้หลานสาวโผเข้ากอดเหมือนอย่างเคย แต่มิรากลับถอยห่าง เงยหน้ามองปู่เล็กของเธอด้วยแววตาว่างเปล่า
“มิราอยากรู้ว่าสิ่งที่มิรารู้มาเป็นความจริงแค่ไหน ปู่เล็กกำลังจะยกสมบัติให้คนอื่น ปู่เล็กไม่รักมิราแล้ว” หญิงสาวตัดพ้อด้วยน้ำตา
แขนของชายชราค่อยๆ ลดลงและแนบลู่ข้างลำตัว ตอบกลับ
หลานสาว
“พักให้หายเหนื่อยก่อนดีไหม” ชายชราบอกด้วยน้ำเสียงเนิบนาบเหมือนเดิมอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อน
“ไม่” มิราตอบเสียงแข็งทันที โดยที่เจ้าสัวปราณยังไม่ทันพูดจบประโยคดี
“มิราต้องการคำตอบตอนนี้”
“อย่ามาทำตัวเป็นเด็กไร้เหตุผลนะ”
“มิราก็กำลังขอเหตุผลจากปู่” หญิงสาวสบตาเจ้าสัวนิ่งบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ชายชราพยักหน้าเบาๆ
“งั้นไปคุยกับปู่ในห้องทำงาน” เจ้าสัวยกมือข้างหนึ่งผายมือเข้าไปในตัวบ้าน บอกหลานสาวเสียงอ่อนลง ก่อนจะเดินนำหญิงสาวเข้าไป
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวบอกขอบคุณและเดินตามหลังคนเป็นปู่เข้าไปยังห้องทำงานที่เธอคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก
กิ๊ก...ประตูไม้สักบานใหญ่ถูกปิดลง หลังจากบุคคลทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง
หญิงสาวล้วงมือเข้าไปหยิบเอกสารในกระเป๋าของตัวเอง ยื่นส่งไปให้เจ้าสัวปราณ เปิดประโยคคำถามขึ้นมาทันที
“ข้อความในจดหมายนี้หมายความว่าอย่างไรคะ”
“ก็ตามที่เห็นในเอกสารนั่นแหละ” คนเป็นปู่ตอบอย่างไม่ยีหระ โดยไม่ได้ใส่ใจที่จะหยิบเอกสารในมือหลานสาวมาดู เขาต้องดึงอารมณ์ให้หลานสาวโกรธจนถึงจุดสูงสุด เพื่อจะตะล่อมให้เข้าเรื่องที่เขาต้อง
การมากที่สุด
“ปู่เล็กจะพูดง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้นะคะ”
“แกอ่านรายละเอียดในจดหมายฉบับนั้นอย่างละเอียดรอบคอบแล้วใช่ไหม”
“อ่านจนจดจำได้ทุกตัวอักษร แต่ก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมปู่เล็กถึงต้องทำแบบนี้”
ชายชราทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาหน้าโต๊ะทำงานของตัวเอง ยกมือทั้งสองข้างพาดไว้กับพนัก
“ปถวีเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้กิจการทั้งหมดของปู่เจริญรุ่งเรือง”
หญิงสาวห่อปาก หันกลับมาสบตาคนเป็นปู่และเค้นเสียงเยาะออกมาจากในลำคอ
“โฮ๊ะ! ปู่เล็กใช้คำว่าแรงขับเคลื่อนสำคัญจนทำให้เจริญรุ่งเรืองเลยเหรอคะ”
“ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
“จะรุ่งเรืองได้อย่างไรกันในเมื่อปู่เล็กต้องขายกิจการส่งออกมูลค่ามหาศาล เพื่อเอามาทำฟาร์มเกษตรบ้าบอนั่น จะเป็นไปได้อย่างไรถ้าปู่เล็กไม่หลงพวกนั้นจนยอมให้พวกเขาสูบเลือดสูบเนื้อ มิราไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าเราจะใช้สมบัติที่เรามีหมดในชาตินี้”
“คนที่ไม่เข้าใจมักจะพูดออกมาแบบนี้” เจ้าสัวปราณตอบกลับ
“ทำไมจะไม่เข้าใจคะ ตอนนี้ปู่เล็กกำลังมีความสุขกับคำชื่นชมเยินยอ ปล่อยให้พวกเขาเรียกร้องจนเกินความพอดี โดยไม่รู้ว่าทรัพย์
สมบัติของตระกูลที่หามาได้กำลังจะหมดลงเพราะพวกเขา”
หญิงสาวตะโกนตอบกลับอย่าโกรธจัด
เพี๊ยะ! ฝ่ามือหนาฟาดลงบนพวงแก้มของหลานสาวดึงสติของเธอกลับคืน แม้ความแรงจะไม่มาก แต่ก็ทำให้คนที่โดนตบโกรธจนแทบสติหลุดมากกว่าเดิม
“อย่ามาก้าวร้าวปู่นะมิรา”
หญิงสาวยกมือขึ้นประคองพวงแก้มของตัวเอง ลูบเบาๆ อย่างปลอบโยน เงยหน้าขึ้นสบตาคนเป็นปู่ น้ำตาอาบสองแก้ม
“ปู่เล็กตบมิรา”
“ฉันตบเรียกสติแกต่างหาก การศึกษาไม่ทำให้ความคิดของคนดีขึ้นสักนิด แกรู้หรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”
“หรือว่ามิราพูดไม่จริง”
“แกคิดว่าปู่เป็นเด็กอมมือหรือไง”
“มิราไม่ได้คิดว่าปู่เล็กเป็นเด็กอมมือ แต่มิรากำลังบอกว่าปู่เล็กหลงพวกนั้นจนสายตามืดบอด มองไม่เห็นความจริง”
ชายชราเค้นยิ้มออกมา
“ถ้าแกไม่อยากให้สมบัติตกไปอยู่ในมือของปถวี แกก็แต่งงานกับเขา” เจ้าสัวยังคงรักษาระดับของน้ำเสียงให้ราบเรียบ หากแต่อาการไม่ยินดียินร้ายของปู่เล็กกลับยิ่งทำให้มิรายิ่งโกรธ
“แต่มิราจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด”
“ไม่ยอมอะไร”
“แต่งงาน”
“นั่นก็สุดแล้วแต่แกจะตัดสินใน ที่ปู่หวังก็แค่ให้แกยอมกลับมาเซ็นรับมรดก จากนั้นแกจะบินกลับมิลานไปก็ไม่มีใครว่า ปู่อยากให้แกได้มารับรู้ และรับส่วนแบ่งในส่วนของพี่ปุราก็เท่านั้น ปู่ไม่อยากให้มีการทักทวงหรือทวงคืนทีหลัง รายละเอียดทุกอย่างตามที่ทนายของตระกูลได้ให้รายละเอียดไปแล้ว” ชายชรายังคงน้ำเสียงราบเรียบไว้เหมือนเดิม