“ไม่จริง...ทำไมแม่ทำอย่างนี้กับมุกล่ะ มันไม่จริงใช่ไหมแม่...”
“ฮึก ฉันขอโทษ ฉัน...ฉันขอโทษ”
“แม่!...”
เสียงสั่นเครือที่บ่งบอกว่าผิดหวังและเสียใจของ มุกรินทร์ ดังขึ้นพร้อมกับมองไปที่ มุกดา มารดาบังเกิดเกล้าของตนเองอย่างไม่อยากเชื่อว่ามารดาของเธอจะขายเธอให้กับเจ้าหนี้เพียงเพราะไปกู้เงินมาเพื่อเข้าบ่อนการพนันกับพ่อเลี้ยงของเธอจนไม่สามารถชำระหนี้ได้เลยตัดสินใจเอาบุตรสาวเพียงคนเดียวไปเสนอขายให้กับเจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้ทั้งหมดเพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นชีวิตของเธอกับสามีใหม่คงต้องจบสิ้นกันเป็นแน่
“อย่าพูดมากเลยน่า แกไปอยู่ที่นั่นน่าจะสบายกว่าอยู่ที่นี่จะมาคร่ำครวญทำไมวะ ไปได้แล้วคุณเขารอนานแล้ว!”
ดนัย พ่อเลี้ยงของมุกรินทร์บอกขึ้นพร้อมกับเบนสายตาหลบอย่างหมดหนทางเช่นกันถึงต้องทำแบบนี้
“ไปเถอะ...ถือซะว่าทดแทนบุญคุณฉันที่ให้ชีวิตแกมาแล้วกันนะ”
มุกรินทร์มองไปที่มารดาอย่างหมดหวังและหมดหนทาง เมื่อมารดาของเธอบอกว่าขายเธอก็เพื่อทดแทนบุญคุณอย่างนั้นเหรอ แล้วที่เธออุตส่ายอมหยุดเรียนมหาวิทยาลัยแล้วไปเรียนต่อ การศึกษานอกโรงเรียน เพื่อที่จะได้มีเวลาหาเงินมาคอยส่งค่าเช่าบ้าน ค่าอาหารและสารพัดค่าใช้จ่ายต่างๆภายในบ้านตลอดห้าปีที่ผ่านมาล่ะมันหมายความว่ายังไง แล้วไหนจะต้องตามไปชดใช้หนี้ให้กับมารดาและพ่อเลี้ยงอีกล่ะ ทุกอย่างที่ทำให้นั้นแทบไม่มีค่าเลยสักนิดอย่างนั้นหรือถึงได้ยอมขายเธอเหมือนขายสิ่งของกันอย่างนี้
มุกรินทร์ถือกระเป๋าเป้สีดำใบเก่าในมือแน่นเมื่อสมบัติทุกอย่างตลอด 26 ปีที่ผ่านมานั้นมีเพียงแค่นี้จริงๆก่อนจะค่อยๆหันไปมองที่รถยนต์สีดำสนิทที่จอดรออยู่หน้าซอยบ้านอันแสนคับแคบที่เธอกับครอบครัวเช่าอยู่ด้วยน้ำตานองหน้า แล้วถ้าเกิดเธอไม่ยอมไปมันจะเกิดอะไรขึ้น พวกชายชุดดำหน้าตาเถื่อนๆพวกนั้นอาจทำอะไรเธอหรือมารดาของเธอจริงๆใช่ไหม
“ไปอยู่ที่นั่นก็เอาอกเอาใจเขาเข้าไว้ ไม่แน่สาวๆสวยๆอย่างแกอาจถูกใจคุณเขาขึ้นมาล่ะก็ ถือว่าแกโชคดีเลยนะนังมุก”
“.................”
พ่อเลี้ยงวัยห้าสิบที่ติดทั้งเหล้าทั้งการพนันพยายามพูดให้มุกรินทร์ยอมไปแต่โดยดีนั้นไม่ได้รู้สึกผิดหรือเสียใจเลยกับสิ่งที่ทำลงไป เมื่อความรู้สึกเดียวที่มีคือเสียดายความสวยความสาวของลูกเลี้ยงอย่างมุกรินทร์ที่เขาพยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะลวนลามและแทะเล็มตั้งแต่เริ่มคบกับมุกดามาจนตอนนี้ก็เข้าปีที่หกแล้วเขาก็ยังไม่เคยทำมันสำเร็จเมื่อมุกรินทร์มักจะหลีกเลี่ยงเขาเสมอมา
ส่วนมุกรินทร์ อย่างเดียวในชีวิตที่มีค่าสำหรับเธอคือมารดา แต่ตอนนี้ดูท่าเธอไม่ได้เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับใครเลยแม้กระทั่งกับมารดาของเธอ หญิงสาวตัดสินใจก้าวหันหลังแล้วเดินออกมาจากบ้านหลังเล็กซอมซ่อด้วยหัวใจที่แตกสลาย สองมือกำเข้าหากันแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาอย่างพยายามเก็บอารมณ์และความเสียใจที่มี
“ของมีแค่นี้ใช่ไหม”
“ค่ะ...”
พอเดินมาจนถึงรถยนต์ที่รอรับ หนึ่งในชายชุดดำเคราดกก็ถามขึ้นก่อนจะดึงกระเป๋าในมือของเธอไปแล้วโยนไปที่ท้ายรถที่เปิดอยู่แล้วพาเธอขึ้นรถไป มุกรินทร์ที่กำลังร้องไห้อย่างหนักอดที่จะหันกลับไปมองที่บ้านเช่าของเธอไม่ได้ ซึ่งตอนนี้กลับไร้เงาของทั้งมารดาและพ่อเลี้ยง พอเธอหันหลังเดินออกมา ทั้งสองก็เดินเข้าไปในบ้านเหมือนไม่ได้สนใจกับอนาคตที่หญิงสาวจะต้องไปเผชิญเลยสักนิด
“จะร้องไห้ทำไม ไปอยู่โน่นดีกว่าอยู่กับพ่อแม่เลวๆแบบนั้นเสียอีก”
“..................”
พอรถเคลื่อนตัวออกมาได้สักพัก คนที่นั่งข้างคนขับรถก็อดที่จะเอ่ยขึ้นไม่ได้ เมื่อมองไปที่ด้านหลังก็เห็นเธอเอาแต่นั่งร้องไห้ไม่หยุด เขารู้จักสองคนนั้นดี พากันติดการพนันรุงรังจนต้องมากู้ยืมเงินจากเจ้านายของพวกตนจนสุดท้ายต้องขายลูกสาวใช้หนี้อย่างที่เห็น
“เธอไม่ใช่คนแรกหรอกนะที่พ่อแม่เลวๆยอมขายเพื่อใช้หนี้”
“ฮึก! สะ...แสดงว่ามีหลายคนที่ต้องเจอแบบฉันเหรอคะ”
พอได้ฟังมุกรินทร์ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา เธอไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยกับการต้องจากบ้านมาครั้งนี้ เพราะพอเสร็จจากที่ทำงานเธอก็เดินกลับบ้านตามปกติแต่กลับเจอมารดาและพ่อเลี้ยงยืนถือกระเป๋าเป้สีดำรออยู่หน้าบ้านด้วยความกระวนกระวายแล้วก็บอกเพียงว่าให้เธอไปอยู่ที่อื่นเพราะทั้งสองขายเธอเพื่อใช้หนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แค่นั้นเองที่เธอรับรู้
“อืม และหลายคนก็โชคดีกว่าที่อยู่กับครอบครัวแบบนั้นเสียอีก แค่สงบเสงี่ยมเจียมตัวและทำตามที่เจ้านายของเธอสั่ง ใครจะไปรู้เธออาจได้เงินไปตั้งตัวเหมือนคนอื่นๆก่อนหน้าเธอก็ได้”
และยิ่งได้ฟังมุกรินทร์ยิ่งแปลกใจ เธอถูกขายมาจะโชคดีได้ยังไง ในเมื่อแค่คำว่าขายนั้นเธอก็เข้าใจแล้วว่าเธออาจถูกส่งไปทำงานขายบริการหรือไม่ก็ไปเป็นคนรับใช้ทำงานหนักเพื่อชดใช้หนี้ หญิงสาวไม่ได้ถามอะไรขึ้นมาอีก ก่อนจะมองไปที่บ้านไม้สักหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาอย่างตกตะลึง เพราะมันช่างสวยงามเหมือนในละครหลังข่าวที่เคยดูไม่มีผิด
“อ่าว ลงมาสิถึงแล้ว
“ห๊ะ! อะเอ่อ ฉันต้องอยู่บ้านหลังนี้เหรอ...”
“ไม่รู้ แต่เธอต้องเจอเจ้านายของเธอที่นี่ก่อน เร็วเข้าเดี๋ยวโมโหแล้วจะแย่เอาได้”
เสียงขู่ที่ดูเกินจริงบอกขึ้น มุกรินทร์รีบเดินลงมาจากรถก่อนจะเดินตามสองคนที่พาเธอมาที่นี่เข้าไปในบ้านหลังใหญ่พร้อมกับมองไปรอบๆอย่างอดไม่ได้ เมื่อทุกอย่างช่างหรูหราสวยงามจนแทบละสายตาไม่ได้
หรือเราต้องมาทำไร่ที่นี่...
หญิงสาวอดคิดขึ้นมาไม่ได้เมื่อตลอดทางที่รถผ่านเข้ามานั้นคือไร่องุ่นใหญ่โตกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา เธอคงต้องทำไร่ชดใช้หนี้สินะ ยิ่งคิดหน้าสวยก็ยิ่งก้มต่ำลงอย่างนึกสมเพชเวทนาตนเอง อุตส่าดิ้นรนกระเสือกกระสนเรียนจนจบเพื่ออยากได้งานดีๆทำแต่สุดท้ายดันถูกขายให้มาทำไร่ทำสวน
“เดี๋ยวรอที่นี่นะ”
“ค่ะ...”
พอเดินขึ้นมาจนถึงหน้าห้องๆหนึ่ง หนึ่งในสองคนนั้นก็บอกขึ้นก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง ไม่นานก็เดินออกมา
“เดี๋ยวเข้าไปในห้องนะเจ้านายของเธอรออยู่”
“ดะ...เดี๋ยวสิพี่ แล้วพี่จะไปไหน”
“อ่าว งานของพวกฉันเสร็จแล้ว ก็จะไปทำอย่างอื่นน่ะสิ ฉันแค่คนส่งของ ส่งเสร็จก็กลับไปทำงานต่อ”
“..................”
มุกรินทร์รีบถามขึ้นเมื่อสองคนที่พาเธอมากำลังจะเดินจากไป ก่อนจะหันมามองที่ประตูห้องที่สองคนนั้นพึ่งเดินออกมา
หนีไปตอนนี้ทันไหม...แล้วถ้าหนี แม่จะต้องถูกคนพวกนี้ทำร้ายใช่ไหม...
หญิงสาวคิดขึ้นมาเมื่อเธอเริ่มถูกความกลัวครอบงำอีกครั้ง
“เข้ามาได้แล้ว”
และยังไม่ทันได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นเสียงของคนด้านในก็ดังขึ้นจนคนด้านนอกสะดุ้งตกใจรีบยกมือสั่นๆขึ้นจับลูกบิดประตูแล้วเปิดเข้าไป
“เข้ามาแล้วปิดประตูด้วย”
คนในห้องสั่งขึ้นแต่กลับไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองคนที่เข้ามาใหม่เลยสักนิดเพราะมัวแต่สนใจเอกสารตรงหน้า
“เคยทำอะไรมาบ้าง”
“ห๊ะ...เออ เคย...เคยทำอาหาร เป็นเด็กเสิร์ฟ แคชเชียร์ งานบัญชี งานพิมพ์เอกสาร งานธุรการทั่วไป งาน...”
“อืม...พอแล้ว แล้วอยากทำงานอะไร”
“เอ่อ...อะไรก็ได้...ค่ะ...”
ผลั๊วะ!!!
“เธอเป็นของฉัน แกจะมายุ่งทำไม!”
ยังไม่ทันได้พูดอะไรกันต่ออยู่ดีๆประตูห้องก็เปิดออกเสียงดังสนั่นเมื่อมันถูกถีบเปิดเข้ามาด้วยความแรงของความโกรธก่อนร่างสูงใหญ่ที่ไม่ต่างจากคนในห้อง จะปรากฏขึ้นพร้อมกับสีหน้าท่าทางโกรธจนแดงไปทั้งตัว
“ฉันบอกแกหลายครั้งแล้วใช่ไหมว่าอย่าสะเออะมายุ่งกับชีวิตของฉันอีกไม่เข้าใจรึไงห๊ะ!”
เป็นเสียงดังดั่งสายฟ้าฟาดของ สิงห์ หรือ สิงหเรศ คชราช น้องชายฝาแฝดของ เสือ หรือ เสือสมิงค์ คชราช ผู้เป็นเจ้าของห้องและกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตรงหน้าของมุกรินทร์ในตอนนี้ด้วย
“มานี่!”
“โอ๊ย! เจ็บ ฉันเจ็บนะ!”
“ปล่อยเธอก่อน ฉันก็แค่พาเธอมาคุยไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
เสือสมิงค์รีบลุกขึ้นมาเมื่อตอนนี้สิงหเรศกำลังกระชากแขนเล็กของคนที่เขาพามาให้เดินตามออกไปและนั่นยิ่งทำให้คนที่โกรธอยู่แล้วยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ มือใหญ่ของเขากำแน่นขึ้นไปอีกจนเสือสมิงค์ที่สังเกตเห็นรีบถอยห่างเพราะกลัวว่ามุกรินทร์จะเจ็บตัวมากไปกว่าเดิม
“ถ้าแกยังมายุ่งกับเรื่องของฉันอีก รับรองฉันเผาที่นี่ทิ้งแน่นอน!”
ขู่เสร็จสิงหเรศก็ลากมุกรินทร์ให้เดินตามออกไปทันที ทำเอาเสือสมิงค์ที่ไม่กล้าจะเดินตามได้แต่มองอย่างรู้สึกเป็นห่วง เขาไม่นึกว่าน้องชายจะรู้เรื่องเร็วขนาดนี้ ส่วนคนที่ถูกลากออกมาได้แต่หวั่นใจ เมื่อเธอแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด คนนั้นลากมาคนนี้ก็มาลากไปต่อ ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไรเธอแทบมองอนาคตไม่ออกเลยจริงๆ
“ขึ้นไป!”
พอมาถึงรถ เสียงสั่งอันดุดันและแรงผลักทำให้หญิงสาวแทบล้มหัวขมำก่อนจะรีบลนลานเปิดประตูขึ้นไปบนรถเมื่อคนที่พาเธอออกมานั้นพร้อมออกรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นเขาก็พาเธอออกมาจากบ้านหลังใหญ่โดยที่ไม่แม้แต่จะหันมามองเธอ ไม่มีคำพูดสักคำออกมาจากปากที่เม้มสนิทเป็นเส้นตรงของเขา มุกรินทร์หันกลับไปมองยังท้องถนนรุกรังที่ทำให้เธอโคลงเคลงไปมาตามหลุมพวกนั้นและไม่นานเขาก็พาเธอมาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่เชิงผา เป็นบ้านชั้นเดียวที่ขนาดไม่ใหญ่และถ้าเธอจำไม่ผิดเขาไม่ได้พาเธอขับออกไปจากไร่เลยสักนิดแต่กลับพาเธอขับลึกเข้ามาต่างหาก