“ทำไมหน้าตาตื่นอย่างนั้นล่ะลูก” ดาราวรรณเปิดประตูออกมาเจอลูกชายของตัวเองพอดี
“อะ เอ่อ เปล่าครับแม่ แม่ออกมาทำไมครับเนี่ย”
“แม่หิวน้ำน่ะลูก น้ำในห้องหมด”
“หมดแล้วทำไมไม่ให้เด็กๆลงไปหยิบล่ะครับ”
“หลับกันหมดแล้วน่ะสิ วันหลังแม่คงต้องเตรียมขึ้นมาเยอะกว่านี้”
“เดี๋ยวผมลงไปเอาให้ดีกว่าครับ แม่รออยู่ตรงนี้นะครับ” ชายหนุ่มรีบอาสาเพราะไม่อยากให้ท่านต้องเหนื่อย
“ไม่เอาๆแม่ลงไปด้วยดีกว่า”
“ดื้อเหมือนกันนะครับเนี่ย” ในที่สุดสองแม่ลูกก็ประคองกันลงไปยังชั้นล่าง หลังจากดื่มน้ำเสร็จแล้วก็เตรียมจะขึ้นนอนแต่ว่าทั้งสองก็ได้ยินเสียงรถขับเข้ามาจอด เป็นใครไปไม่ได้นอกจากอารักษ์เพราะรายนี้ชอบเที่ยวกลางคืนใครห้ามก็ไม่ฟัง ทุกคนเลยปล่อยเลยตามเลย
“ตาอารักษ์นี่ชอบทำให้จันทร์ฉายเป็นห่วงอยู่เรื่อย” ดาราวรรณบอกออกไปน้ำเสียงปลงๆ อารักษืกลับบ้านดึกแทบทุกวัน ถ้าหล่อนเป็นจันทร์ฉายคงเครียดน่าดู
“แม่ยังจะไปสนใจอีกหรอครับ สองแม่ลูกคู่นี้ไม่เคยเห็นเราเป็นครอบครัว”
“ถึงจันทร์ฉายจะทำผิดต่อแม่แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังเป็นน้องสาวของแม่อยู่ดี แม่อยากให้ลูกดูแลเรือนหลังนี้จริงๆนะลูก ถ้าปล่อยให้อยู่ในมือของอารักษ์คงต้องโดนขายทิ้งแน่ๆ”
“มันก็ขึ้นอยู่กับผู้หญิงของคุณแม่ด้วยนะครับ ผมเห็นชอบยิ้มหวานให้นายอารักษ์อยู่บ่อยๆ”
“ลูกก็ทำคะแนนบ้างสิจ๊ะ หนูของขวัญคือลูกสะใภ้ในอุดมคติของแม่เลย”
“จริงๆที่เขามาทำดีเพราะอยากจะได้เรือนหลังนี้หรือเปล่าครับ”
“ผิดจ้ะ หนูขวัญไม่รู้เรื่องที่ครอบครัวเราตกลงกันเลย แกมาด้วยใจจริงที่อยากดูแลแม่ให้ดี” จบประโยคของผู้เป็นแม่ก้ทำให้เขามองของขวัญต่างไปจากเดิม เรื่องจริงข้อหนึ่งที่เขาลืมนึกไปว่าครอบครัวของหญิงสาวเองก็มีฐานะ เธอไม่จำเป็นต้องมาลำบากดูแลมารดาของเขาเพื่อเรือนหลังนี้ด้วยซ้ำเพราะทรัพย์สินที่เธอมีก็มากมายมหาศาล ทำไมเขาถึงคิดไม่ได้แล้วมองเธอในแง่ร้ายแบบนี้นะ
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจากวันเป็นเดือน เวลานี้เธออาศัยอยู่ที่เรือนดารารัสมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว เธอเริ่มปรับตัวได้แล้วว่าอะไรอยุ่ตรงไหนและเอควรจะวางตัวอย่างไร สิ่งที่เธอดีใจที่สุดคืออาการป่วยของดาราวรรณค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ คุณหมอบอกว่าเป็นเพราะเธอด้วยเหมือนกันที่ทำให้คนไข้ของคุณหมอขยันฮึดสู้ออกกำลังกายเล็กๆน้อยๆให้ร่างกายเริ่มปรับตัว
“วันนี้ให้คุณป้าทานอะไรตามใจหนึ่งวันค่ะ คุณป้าอยากจะทานอะไรคะ”
“ขอบคุณนะลูกแต่ป้าไม่เอาแต่ใจตัวเองดีกว่า ป้าอยากแข็งแรงจะได้อยู่กับหนูกับตาอิงทัชนานๆ”
“คุณแม่ยังต้องอยู่กับผมอีกนานแน่นอนครับ” อิงทัชที่วันนี้ทำหน้าที่คนขับรถเอ่ยขึ้นบ้างหลังจากนั่งฟังสองสาวต่างวัยพูดคุยกันมาตลอดทาง
“ใครจะไปรู้อนาคตล่ะลูก แต่ที่แน่ๆแม่ต้องอยู่รอเห็นลูกชายของแม่แต่งงานมีหลานน่ารักๆให้แม่อุ้ม” ชายหนุ่มไม่ได้ตอบกลับอะไรในหัวคิดถึงรื่องที่มารดาเคยบอกว่าหญิงสาวมาดูแลท่านด้วยใจแล้วก็เผลออมยิ้มออกมา คุณชายเย็นชาแอบยิ้มนี่ เธอคิดว่าเขาจะหน้านิ่งตลอดเสียอีก เธอต้องหยุดความคิดเมื่อท้องของคนตัวโตร้องออกมาเสียงดัง
“ยังไม่ได้ทานอะไรหรอลูก”
“ครับแม่ ออกจากที่ทำงานก็ตรงมารับคุณแม่เลย”
“โธ่ ลูกรักของแม่ไม่ต้องทรมานตัวเองขนาดนี้ก็ได้ วนส่งแม่แล้วก็พาหนูขวัญไปหาอะไรอร่อยๆทานบ้างสิลูก อยู่บ้านก็ทานแต่จืดๆเป็นเพื่อนแม่ เดี๋ยวพ่อหนูขวัญจะหาว่าเราไม่ดูแลลูกสาวเขาเลย”
“ได้ครับ”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะคุณป้า ขวัญทานกับคุณป้าก็ดีอยู่แล้วค่ะ”
“อย่ามองไม่เห็นความหวังดีของแม่พี่สิครับ”
“อะ เอ่อไม่ใช่นะคะ”
“งั้นก็ไปทานข้าวกับพี่”
“ก็ได้ค่ะ” หลังจากส่งมารดาเรียบร้อยเขาก็พาหญิงสาวมาทานอาหารที่ร้านประจำของตัวเอง ที่นี่บรรยากาศร่มรื่นและมีความเป็นส่วนตัว เขาไม่ชอบที่ที่มีคนพลุกพล่านมากนัก ทั้งสองเลือกมุมที่สามารถมองเห็นต้นไม้ใหญ่ด้านนอกได้ชัดเจน พนักงานแนะนำเมนูพิเศษของร้านให้ หญิงสาวไม่ปฏิเสธที่จะลองทานตามคำแนะนำ
“สั่งอะไรเพิ่มไหม มื้อนี้พี่จ่ายสั่งเต็มที่เลย” ถ้าเกิดว่าหญิงสาวอยากจะทานอะไรเขาก้พร้อมจะจ่ายให้
“พอแล้วค่ะแค่ที่สั่งไปก็เยอะแล้ว” หญิงสาวรีบบอกกับคนตรงหน้า
“มักน้อย”
“แบบนี้ก็ดีแล้วนี่คะไม่เหลือทิ้งขว้างน่าเสียดาย” หญิงสาวตอบกลับตามความเป็นจริง กินทิ้งกินขว้างแบบนั้นไม่สมควรนี่หน่า
“ไม่หมดพี่ก็ไม่ว่าหรอกนะไม่ต้องห่วง พี่เข้าใจว่าสาวๆชอบรักษาหุ่น”
“ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอนค่ะ ที่สั่งไปน่ะหมดแน่” หญิงสาวตอบกลับด้วยความมั่นอกมั่นใจหมั่นไส้ที่เขาดูเข้าอกเข้าใจสาวๆ ซึ่งความจริงเธอไม่ได้เกรงใจเขาสักหน่อย ถึงเขาไม่จ่ายเธอจ่ายเองก็ได้