กระดาษบนมือได้รายงานเรื่องราวของจื้อซิ่งเหมี่ยน ทำให้จ้าวยวี่เสียงยิ้มแทบไม่ออก สตรีนางนี้นอกจากจะเป็นเจ้าของหอนางโลม ยังเป็นเจ้าของบ่อนอีกหรือ
กิจการนี้ใช่ว่าใครจะเปิดก็เปิดกันได้ง่ายๆ หากไม่มีคนหนุนหลังก็อย่าหวังว่าจะอยู่รอด ตัวเขายังพอหาคำตอบได้ว่านางอาจแอบอ้างสกุลกู้ ทว่าทุนทรัพย์ นางมีเงินทองมากมายจากไหนกัน จะบอกว่าสินเดิมของมารดาหรือก็คงจะไม่ใช่ เพราะที่เขาทราบมาว่าเฟิ่งไห่เจอมารดาของนาง ตอนเข้าไปสืบข่าวยังหอนางโลมแห่งหนึ่งใกล้เมืองหลวงและช่วยนางไว้ได้
ส่วนบุตรสาวนามกู้หลันอวี้ได้หนีไปได้ จื้อลี่เจียงขอร้องให้
เฟิ่งไห่ช่วยตามหานาง ทว่าหาอย่างไรก็ไม่พบ นางหายไปอย่างไร้ร่องรอย จนท้ายที่สุดเขาให้เฟิ่งไห่กลับเมืองหลวงเพื่อเตรียมการบางอย่างไว้ก่อนล่วงหน้า แต่ไม่คิดว่าสองแม่ลูกจะมาพบกันโดยบังเอิญ
การที่นางทำการค้าจากบ่อน และเปิดกิจการหอนางโลมพร้อมกัน ผู้เสี่ยงโชคที่บ่อนมาหาความสุขทางหออีก อย่างนี้เรียกว่าอัฐยายซื้อขนมยาย นางนี่รู้จักทำมาค้าขายช่างน่านับถือโดยแท้
"นายท่าน" ทหารผู้หนึ่งเดินเข้ามาเมื่อถูกเรียกตัว
"ได้ข่าวนักพรตเต๋อฮุยหรือยัง"
"ยังขอรับ เหมือนว่าเรื่องของนักพรตเต๋อฮุยไม่เคยมีมาก่อน"
"อืม! แล้วสืบพบไหมว่ารุ่ยอ๋องติดต่อใครอีกหลังจากโจรเสือขาวได้ตายไป"
"ไม่มีขอรับ ส่วนหยกสีน้ำผึ้งและชุดไหมหยกทองคำก็ไม่พบขอรับ" จ้าวยวี่เสียงนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่นานก็เอ่ยออกมา
"เจ้าสืบได้หรือยังว่าใครที่ฆ่าโจรภูเขา"
"ไม่มีเบาะแสขอรับ แต่ชาวบ้านที่ถูกจับตัวไปบอกว่ามีสาวน้อยหน้าตาอัปลักษณ์ อีกทั้งเป็นใบ้ถูกพาเข้าไปยังห้องของหัวหน้าโจรภูเขาพร้อมกับสตรีอื่น หลังจากนั้นก็ไม่พบนางอีก ไม่แน่ว่าจะเป็นนางก็ได้ขอรับ"
"นางจะใช่คนของรุ่ยอ๋องหรือเปล่า" เขาทำหน้าครุ่นคิด แต่ไม่นานเขาก็โบกมือไล่ชายผู้นั้นไป พ้นร่างคนของเขา จ้าวยวี่เสียงก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องของตน มุ่งตรงไปหาเฟิ่งไห่
สตรีร่างบางสวมหมวกปกปิดใบหน้านั่งดื่มชาพร้อมกับดรุณีน้อย รอฟังคำตอบของเจ้าของหอนางโลมที่ทำหน้าสีหน้าไม่ถูก
"เจ้ารู้มาจากไหน? "
"รู้มาจากไหนไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าเถ้าแก่เนี้ยจะขายหอแห่งนี้หรือไม่ แต่ถ้าไม่ขายก็ไม่เป็นไร ข้าไม่อาจบังคับจิตใจท่านได้ หอก็เป็นของท่าน หนี้ที่ท่านจะต้องไปจ่ายผู้อื่นที่หยิบยืมมานั้นก็เป็นของท่าน ไม่มีเงินใช้หนี้ทางการก็ต้องยึด เงินติดตัวก็ไม่มี ท่านก็คิดดูเอาเถิด" เมื่อกล่าวจบนางลุกหมายจะจากไป แต่ถูกรั้งตัวด้วยคำพูดไว้เสียก่อน
"เจ้าเป็นใครกันแน่" วาจาข่มขู่นี้จื้อซิ่งเหมี่ยนไม่ชอบ ในเมื่อต้องการรู้ว่า นางจะเฉลยให้รู้เลยแล้วกัน
จื้อซิ่งเหมี่ยนถอดหมวกเผยใบหน้าให้เถ้าแก่เนี๊ยเจ้าของหอได้เห็น จนนางชะงัก
"เจ้า!" นางยิ้มรับ "ไม่ต้องเอ่ยว่าข้าคือใคร เพราะหากเกิดอันตรายกับข้า ทางการไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ เพราะที่สุดท้ายที่ขาเหยียบคือหอของเจ้า!" เจ้าของหอนางโลมก้มหน้าก้มตาคิดพิจารณาอย่างถ้วนถี่
"ได้...ข้าขายหอแห่งนี้ให้เจ้า แต่เจ้าจะมีเงินมากเพียงพอที่จะซื้อหอแห่งนี้หรือ" เมื่อนางเห็นว่าผู้มาเยือนคือใคร นางจำต้องยินยอมขายเพราะสตรีตรงหน้าคือบุตรสาวของใต้เท้ากู้ไต้ฝู่ ผู้มากด้วยอำนาจผู้หนึ่ง ทั้งเงินที่ขาดมือก็เป็นปัจจัยสำคัญที่นางต้องยินยอมขาย
"นั่นไม่ใช่ปัญหาของท่าน ข้าต้องการให้ท่านย้ายไปภายในวันนี้" นางยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่ง ทำให้เจ้าของหอนางโลมถึงกับมองจำนวนเงินสลับกับใบหน้าหญิงงามที่เป็นหนึ่งแห่งแคว้น
"คุณหนูกู้"
"ข้าขอเดินดูหอให้รอบๆ เผื่อว่าจะมีตรงไหนที่ต้องปรับปรุง ท่านคงไม่ว่าอะไรนะ"
"เจ้าค่ะ..เชิญ..เชิญเลยเจ้าค่ะ" เจ้าของขอนางโลมรีบเชื้อเชิญและพานางไปยังที่ต่างๆ
"ขอบใจท่านมาก ท่านส่งข้าเพียงแค่นี้เถิด ที่เหลือข้าจะเดินสำรวจเอง ท่านไปเก็บข้าวของเถอะ"
"เจ้าค่ะ!" นางดีใจเพราะเงินจำนวนมากทำให้นางใช้หนี้ได้อีกทั้งยังพอเหลือที่จะเปิดร้านเล็กๆ ย่านชนบทบ้านเกิดของตนเองได้
หอหอมหมื่นลี้ปิดปรับปรุง ต่อเติมซ่อมแซมอยู่ราวหนึ่งเดือน หากแต่จื้อซิ่งเหมี่ยนไม่ได้นั่งอยู่เฉย นางจ้างให้คนไปสืบเรื่องของมารดาตนที่โรงน้ำชานอกเมืองหลวง เพราะที่นั่นเป็นหอนางโลมที่แยกตัวมาจากหอหมื่นบุปผาเพียงแต่ออกมาเปิดนอกเมืองเท่านั้น
นางจำได้เป็นอย่างดีเพราะเจ้าของหอนางโลมฉุดกระชากลากถูนางไปยังห้องแห่งหนึ่ง ที่นั่นรวบรวมสตรีทั้งหมดไว้
แต่ทุกนางล้วนเปลือยกาย บ้างยืนให้บุรุษหรือสตรีวัยกลางคนจับต้องสัมผัสกาย บ้างนั่งคุกเข่ายกตัวก้นกระแทกกับพื้น บ้างนอนแอ่นใช้สะโพกกลึงไข่แต่ห้ามมิให้ไข่แตก สตรีแต่ละนางล้วนต้องฝึกร้องเสียงครวญคราง นางมารู้ภายหลังว่าที่นั่นเป็นที่ฝึกฝนเหล่าคณิกาให้มีทักษะก่อนที่จะขึ้นไปรับแขก ที่นอกเหนือการฝึกร่ายรำ ดนตรีและการฝึกสายตามองบุรุษ
"คุณหนูที่หอไม่พบขอรับ แต่มีบางอย่างที่ข้าน้อยไม่มั่นใจ คือระหว่างเดินทางข้าน้อยผ่านกลุ่มชาวบ้านที่เข้ามาในเมือง เจอสตรีนางหนึ่งเดินกับบุรุษเข้าไปอาศัยโรงเตี๊ยมฟู่หลงมีลักษณะใบหน้าคล้ายกับภาพวาดนี้"
"เจ้าว่าโรงเตี๊ยมฟู่หลง เช่นนั้นพาข้าไป"
"ขอรับ"
สตรีวัยกลางคนเดินเข้าด้านหลังหอหอมหมื่นลี้ เพื่อรายงานว่าสามวันที่ผ่านมาหลังจากที่จื้อซิ่งเหมี่ยนพาหนิงไช่กวงเข้ามาบ่อนเมื่อห้าวันก่อน หลังจากนั้นทุกๆ วันเขามักจะมาเสี่ยงโชคที่บ่อนเกือบทุกวัน และได้เงินกลับไปไม่ต่ำกว่าสามพันตำลึง ทำให้เงินที่จัดสรรปันส่วนเริ่มร่อยหรอ นางจำต้องเดินทางมายังหอเพื่อขอพบและแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นให้จื้อซิ่งเหมี่ยนรับทราบ
"ไปทุกวันเลยหรือ? " น้ำเสียงที่นางเอ่ยเพียงต้องการคำยืนยันว่าสิ่งที่นางได้ฟังเป็นเรื่องจริง
"เจ้าค่ะคุณหนู พวกข้าน้อยทำตามที่คุณหนูสั่ง พยายามทำให้คุณชายหนิงเล่นได้ จนบางครั้งมีคนเล่นพนันตามเขา จนเงินที่ได้มาต้องนำมาจ่ายให้กับลูกค้ารายอื่นด้วย แล้วอย่างนี้ทางร้านเราจะไม่แย่เอาหรือเจ้าคะ" นางรู้สึกกังวลใจแทน หากคุณหนูยังคงยืนยันให้
หนิงไช่กวงโชคดีทุกครั้ง มีหวัง...
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวเจ้านำเงินส่วนนี้ไป และเปลี่ยนให้เขาเสียบ้างแต่อย่ามาก จำไว้ต้องให้เขาได้มากกว่าเสีย ทำให้เขารู้สึกว่าบ่อนของเราคือบ่อเงินบ่อทองของเขา จนเขาอยากจะสถิตอยู่ที่นั่นแทนจวนสกุล
หนิง"
"เจ้าค่ะคุณหนู" คำกล่าวของผู้เป็นนายทำให้นางรู้แล้วว่าสิ่งที่
จื้อซิ่งเหมี่ยนสื่อนั้นคืออะไร นางจึงไม่โต้แย้งใดๆ อีกนางเพียงย่อกายหมายที่จะจากไป แต่ถูกจื้อซิ่งเหมี่ยนเรียกเอ่ยบางอย่าง ทำให้นางถึงกับตาตื่น ในใจคิดว่าผู้เป็นนายต้องวิปลาสไปเสียแล้ว มีอย่างที่ไหนให้คนแสร้งทำล้างน้ำจานชามไปสาดใส่หนิงไช่กวง ทั้งให้นำเมนูเนื้อจากศพที่ตายแล้วในสุสานมาให้เขากินเป็นกับแกล้มระหว่างอยู่ภายในบ่อน แต่นางก็ไม่กล้าจะเอ่ยขัดเพียงรับปากและเดินออกจากประตูไป ปล่อยให้จื้อซิ่งเหมี่ยนนั่งนึกอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ
"เงินทองของเจ้า ไม่ใช่เป้าหมายข้า หนิง-ไช่-กวง" นางเอ่ยกับตนเองไม่นานนางก็นึกอะไรออกขึ้นมา เดินออกจากห้องหวังจะไปเยี่ยมเยียนใครสักคนที่นางไม่ได้เจอมานาน ทว่าสายตากลับเห็นชายที่ชอบวุ่นวายกับตนเองเดินออกมาจากห้องของเฟิ่งไห่ นางรู้สึกระอาจึงรีบสาวเท้าเดินหมายจะลงบันได ทำให้จ้าวยวี่เสียงเห็นอากัปกิริยาของนางก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา "คิดจะทำอะไรอีกนะแม่สิงห์สาว" เขาถามนางในใจ และไม่คิดที่จะตามนางไป ทำเพียงกลับเดินเข้าห้องของตนเอง เพราะคิดว่าอีกประเดี๋ยวนางก็มาหาเขาเอง
จื้อซิ่งเหมี่ยนเดินลงบันไดไปหวังจะออกจากหอทางด้านหลัง นางพลันได้ยินเหล่าคณิกาสนทนากันว่าเหนียนอ๋องที่ถูกฮ่องเต้เนรเทศให้ไปอยู่ชายแดน บัดนี้เดินทางกลับมายังเมืองหลวง และพวกนางสันนิษฐานว่าบุรุษรูปงามที่มาอยู่ยังห้องด้านบนจะใช่เหนียนอ๋องหรือไม่ เหตุเพราะพวกนางเคยเห็นเฟิ่งไห่มีท่าทีนบนอบชายผู้นั้นที่ดูมีอายุ
อานามน้อยกว่า ทั้งชายคนดังกล่าวดูองคาพยพสง่าผ่าเผย ผิดแผกกับทหารที่กร่ำศึกสงครามยิ่ง
ข้อสันนิษฐานที่นางได้ฟัง สร้างแรงกดดันในใจอย่างไม่รู้ตัว หากชายคนนั้นใช่เหนียนอ๋อง เขาก็คือเด็กผู้ชายคนนั้น คนที่นางเกือบเอาชีวิตของตนไปเสี่ยงหวังเพื่อไม่ให้เกิดเหตุกับครอบครัวสกุลกู้ แต่กลับกลายเป็นว่านางถูกหนิงไช่กวงทำร้าย
ความคิดที่จะไปเยือนจวนสกุลกู้พลันถูกยกเลิก ขาของนางว่องไวกว่าความคิด จื้อซิ่งเหมี่ยนสาวเท้าเดินขึ้นบันไดสองมือกำหมัดแน่นเดินตรงไปยังห้องที่นางเคยไว้สำหรับเปลี่ยนชุด แต่ตอนนั้นเป็นเพราะความโกรธนางจึงพลั้งปากว่าจะไม่ใช้ห้องนั้นแล้ว เมื่อถึงหน้าห้องนางไม่เสียเวลาเคาะประตูตามมารยาท นางใช้เรี่ยวแรงที่มีผลักประตูเข้าไป เป็นจังหวะเดียวกับที่เขายืนอยู่พอดี เขาหันหน้ามามองด้วยความกังขา
"เจ้า!" น้ำเสียงโกรธระคนสั่นเครือเปล่งออกมาจากปากของ
จื้อซิ่งเหมี่ยน นางเดินตรงไปยังเขา มือง้างขึ้นหมายจะทำร้ายเขา ทว่าบุรุษผู้ฝึกยุทธ์ย่อมเร็วเสียกว่า มือถนัดจับข้อมือนาง แต่มีหรือที่นางจะยอม มืออีกข้างกางเล็บจะข่วนที่แก้มของจ้าวยวี่เสียง ราวกับมีใครกระซิบบอกเขาล่วงหน้ากับความคิดนาง มืออีกข้างของเขาก็ว่างเสียด้วย จึงคว้าข้อมือเล็กไว้ทันก่อนที่จะถูกเล็บยาวข่วนได้
"นี่! แม่สิงห์สาว เจ้าดื่มยาผิดขนานหรืออย่างไร ถึงได้เที่ยวบุกรุกห้องบุรุษเช่นนี้" น้ำเสียงสัพยอกเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี
"ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ไอ้สารเลว ไอ้ลูกเต่า" ยิ่งนางโมโห เขายิ่งสนุก จึงแกล้งนางอีกสักหน่อยก็แล้วกัน
"ข้า! ข้าไปทำอะไรให้คุณหนูจื้อไม่พอใจหรือขอรับ ถึงได้กล่าวหาข้าว่าเป็นชายสารเลว และยัดเยียดให้ข้าเป็นลูกเต่า แต่หากเป็น ขอเป็นคนของคุณหนูจื้อจะดีกว่า กินอิ่ม นอนหลับ ทั้งได้ชมภาพที่สร้างสุนทรีย์กับข้าน้อยได้ดีกว่าเป็นลูกเต่าเป็นไหนๆ "
"เจ้าใช่ไหม... เจ้าคือเหนียนอ๋อง อย่าได้คิดโกหกข้า ตอบ!ว่าเจ้าใช่หรือไม่ใช่" เขาได้ยินคำถามแทนที่จะตื่นตระหนกว่ามีคนรู้ฐานะของตน กลับยิ้มระรื่นส่งให้นางและพลิกแขนนางให้ไขว้มาทางด้านหลัง เพื่อให้แผ่นหลังของนางติดกับแผ่นอกของเขา
"ใช่แล้วจะทำไม ไม่ใช่แล้วจะทำอะไรข้า เป็นสตรีคิดจะบุกเข้าห้องบุรุษไม่ดีนะ หรือว่า..."
"หยุด! หยุดความคิดพล่อยๆ ของเจ้าเลยนะ ปล่อย!"
"ปล่อยคุณหนูคนงาม ข้าก็ต้องเจ็บตัวสิ เรี่ยวแรงที่ข้ามี ย่อมไม่เหมือนบุรุษอื่นทั่วไปหรอกนะ" เสียงของเขานุ่มลึกกระซิบข้างหูของนาง ทว่าเสียงของนางกลับร้องลั่นทำให้คนที่อยู่ใกล้โดยเฉพาะเฟิ่งไห่เดินเข้ามาดู
"ซิ่งเหมี่ยน! นายท่าน!" คำอุทานออกมาด้วยความตกใจกับภาพที่ทั้งสองใกล้ชิด แต่มิใช่เพราะความสิเน่หา ทว่าเป็นการต่อสู้ที่รู้ผลแพ้ชนะแล้ว
"ปิดประตู ห้ามให้ใครผ่านเข้ามา!"
"เอ่อ...ขอรับ" ประตูถูกปิดเข้าหากัน ภายใต้สายตาของ
จื้อซิ่งเหมี่ยน นางตะโกนออกไป "ห้ามปิดนะลุงเพิ่ง!" แต่มีหรือที่เขาจะกล้ามีปัญหากับจ้าวยวี่เสียง เขายอมถูกสาวน้อยบุตรีของคนรักต่อว่าเสียดีกว่า ประตูปิดลงด้วยคำขอโทษจากใจเฟิ่งไห่
"คงจะไม่รุนแรงกระมัง ลุงขอโทษนะซิ่งเหมี่ยน" แม้จะรู้สึกว่าไม่ถูกต้องแต่เขาก็ตระหนักได้ว่าจ้าวยวี่เสียงไม่ทำร้ายนางแน่นอน
จ้าวยวี่เสียงมองตามประตูสลับกับจื้อซิ่งเหมี่ยน เห็นอากัปกิริยาแล้วนึกอยากแหย่นางเล่น
"ว่าไงสาวน้อย คิดถึงข้าจนอดใจไม่ไหวจึงรีบเข้ามาในห้องเชียว อันที่จริงแค่เคาะประตูเบาๆ ข้าก็เปิดให้แล้ว"
"ท่านออกไปจากหอข้าเลยนะ"
"อะไร พอรู้ว่าข้าเป็นใคร ก็คิดที่จะไล่กันเชียวหรอ ผู้อื่นมีแต่ต้อนรับขับสู้ เฮ้อ!น่าน้อยใจ น่าน้อยใจจริงๆ คนอุตส่าห์คิดถึง เที่ยวตามหาทุกหนทุกแห่ง"
"ข้ากับท่านไม่เคยเป็นอะไรกัน จะมาตามหาข้าเพื่ออะไร ทางที่ดีท่านควรออกจากหอข้าไปแล้วอย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก" เขาปล่อยมือให้นางเป็นอิสระ เดินไปยังเตียงและเอนตัวลงนอน ใช้แขนทั้งสองข้างหนุนศีรษะอย่างสบายอารมณ์
"เอาความจริงนะกู้หลันอวี้ ถ้าเจ้าจะแค้นข้าเพราะเรื่องเมื่อครั้งนั้น ข้าขออธิบายกับเจ้าให้เข้าใจ ประการแรก... เจ้าเป็นคนเข้ามาเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยข้าให้พ้นจากอันตรายที่แม้แต่ตัวข้าเองก็มิอาจคาดฝันได้ว่าเด็กน้อยในวัยไล่เลี่ยกับข้าจะคิดลงมือเล่นงานราชนิกุล อนึ่งหากข้ารู้ว่าข้าคือผู้รับเคราะห์ในเวลานั้น เจ้าผู้เป็นดรุณีน้อยในยามนั้นอยากกางปีกปกป้องเพื่อมิให้ตระกูลของตนเกิดหายนะ ในความเป็นจริงคือไม่จำเป็น เพราะข้าเป็นบุรุษมิได้อ่อนแอจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับข้าจริงๆ
แต่จะว่าไปข้าซึ้งในน้ำใจของเจ้าที่หยิบยื่นให้ เพราะเวลานั้นอำนาจของพระมารดาก็แทบจะไม่มีหลงเหลือให้คุ้มครองผู้ใดได้ หากเกิดเรื่องขึ้นกับข้าจริงพวกนั้นก็แค่อ้างว่าเล่นกันตามประสาเด็ก
ประการต่อมาข้ามาหาเจ้าทุกวัน เห็นเจ้านอนหลับสนิทในเรือน ยาที่ข้าแอบเอาออกมาจากวังเป็นยาชั้นเลิศ อีกทั้ง..." เขาเอ่ยพร้อมยิ้ม แววตาจ้องมองไปทางจื้อซิ่งเหมี่ยน นางจ้องกลับพยายามตั้งใจฟัง
"ข้าสัมผัสเนื้อตัวของเจ้าแล้วนะ สาวน้อย" ควันแทบออกจากหูเมื่อประโยคสุดท้ายจบลง เสียงกรีดร้องที่จ้าวยวี่เสียงกำลังรอฟัง กลับเงียบกริบจนเขารู้สึกแปลกใจ มองอากัปกิริยาของนางยังสงบ
"เจ้าไม่โกรธ? " เขาขมวดคิ้วมุ่นอย่างคาดไม่ถึง นางสมควรที่จะโกรธสิ แต่สิ่งที่เขาเห็นคือนางค่อยๆ คลี่ยิ้ม เขาจึงลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินตรงมาหานาง เห็นแววตาสุกสกาวของนางยังยิ้มให้ ในใจนึกหวาดหวั่นว่าคำพูดของเขาทำให้นางเสียสติไปแล้วหรือไม่
"จ้าวยวี่เสียง ท่านทำเพื่อข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ" นางยกมือไล้ไปที่ใบหน้างาม แล้วค่อยสอดแขนทั้งสองข้างของตนโอบไปยังลำคอของจ้าวยวี่เสียง ทำให้เขารู้สึกสั่นสะท้านแต่ไม่ลืมพยักหน้าตอบรับ
"เพราะอะไร ท่านบอกข้าได้หรือไม่? "
"เจ้าปกป้องข้าเหมือนมารดาของข้า"
"เช่นนั้นแสดงว่าท่านรักและเชื่อฟังมารดาท่านมาก หากข้าจะขออะไรท่านสักอย่าง ท่านจะทำให้ข้าได้หรือไม่? " เขาพยักหน้ารับเพราะคิดว่านางคงไม่ขออะไรดาวขอเดือน
นางยิ้มส่งให้จนเขารู้สึกไม่แน่ใจกับสิ่งที่รับปากไปเมื่อครู่ นางก้าวถอยหลังและปล่อยมือแต่ยังคงยิ้มให้
‘เพี๊ยะ!’
มือหนักตบลงที่แก้มจนเขาหันหน้าตามมือ จนเผลอยกมือลูบข้างแก้ม
"จ้าวยวี่เสียง ข้าจะนับเจ้าเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง อย่าหวังว่าชีวิตจะสมหวังอีกเลย"
"สมหวังกับคนอื่นข้าไม่ว่า แต่ถ้าสมหวังกับเจ้าข้ายอมทุกอย่าง"
"เจ้า!" นางง้างมือจะตบเขาอีก
"ตบข้าอีกครั้งนี้ ข้าจะขอแลกกับ..." เขามองร่างกายนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มือนางแข็งค้างบนอากาศ นางสะบัดมืออย่างไม่สบอารมณ์
"ข้าไม่ยอมเจ้าแน่!" กล่าวจบนางก็สะบัดตัวเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เขายิ่งอารมณ์ดี
"มือหนักเหมือนกันนี่นางสิงห์น้อย"