ดึกสงัดจวนสกุลกู้ที่ดูไร้การเฝ้าระวัง จ้าวยวี่เสียงรับสัญญาณจะจากเซียวหมิงเฟิ่ง บุรุษชุดดำที่เคยปะทะกันเมื่อครั้งนั้นกับพวกอีกสองคนคือ หลิวเหล่ายี่และหลิวเหล่าฟ่านในการแอบลอบเข้าจวนสกุลกู้
เมื่อเห็นว่าทางด้านในปลอดคน ช่องทางที่มุ่งสู่ทองคำของราชสำนักก็ถูกพวกเขาเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
“นี่! เจ้าไม่คิดจะช่วยกันเลยหรืออย่างไร” เซียวหมิงเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงระอาเมื่อเห็นผู้ที่ขอความร่วมมืออย่างจ้าวยวี่เสียงเพียงมองพวกเขาใช้แรง ส่วนตัวผู้สั่งการกลับทำเพียงมองพวกเขาอย่างเงียบเชียบ
“ข้าบาดเจ็บ ใช้แรงไม่ได้!”
“ชิ! อย่าทำเป็นสตรี แค่นี้เจ้าไม่ตายหรอกน่า” คำกล่าวของเซียวหมิงเฟิ่งทำให้ทั้งสองพี่น้องตระกูลหลิวคล้อยตาม แต่เพราะทั้งสองไม่ชื่นชอบการโต้เถียง จึงได้แต่นิ่งเฉย
“เจ้าดูสิ สองพี่น้องยังไม่บ่น มีเพียงแต่เจ้าที่บ่นเป็นหมีกินผึ้งเสียอย่างนั้น”
“ข้าว่า..” หลิวเหล่ายี่ผู้พี่ หยุดการปะทะโดยเขาเอ่ยปาก
“ยวี่เสียง เจ้ามาช่วยเหล่าฟ่านยกหีบนี้เถิด ส่วนที่เหลือพวกข้าจะช่วยกันยกคนละใบ”
“ได้อย่างไรเล่า เจ้าสองพี่น้องต้องช่วยกัน ส่วนเจ้านั่น คนเดียวก็เพียงพอแล้ว”
“เขาบาดเจ็บ!” หลิวเหล่าฟ่าน ผู้ไม่ชอบเอ่ยปากเอ่ยขึ้น นั่นคือความจริงที่เขาบาดเจ็บเพราะเซียวหมิงเฟิ่ง
“ใช่! ข้าบาดเจ็บ เอาเป็นว่าเสร็จงานนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปดื่มให้อิ่มหนำสำราญ”
“หึ! กินให้อิ่มหนำสำราญ ขี้คร้านเจ้าจะพาพวกข้าไปชมว่าที่ภรรยาเจ้าเสียมากกว่า” เซียวหมิงเฟิ่งเปล่งเสียงในลำคอ พร้อมเอ่ยคำที่อีกฝ่ายเคยปล่อยให้เขารอที่จวนเสียไม่ได้
“ขออภัยสหายรัก แล้วข้าจะชดใช้ให้ก็แล้วกัน” หลังสนทนากันอย่างแผ่วเบา ทั้งหมดก็เริ่มขนย้ายทองออกจากที่ซ่อนและนำไปเก็บไว้ยังที่ปลอดภัย
แสงสีแดงด้านใต้ของเมืองที่ส่องสว่างยามวิกาล แม้จะมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าหลิวเหล่าฟ่าน เอ่ยปากพูดลอยๆ ว่าคงเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่ จ้าวยวี่เสียงที่ยังวุ่นอยู่กับเผือกร้อนตรงหน้าก็หันมาให้ความสนใจ
หัวใจเขากระตุกวาบ เพราะเกรงว่าภาพที่เขาเห็นนั้นจะเป็นที่ที่ยอดพธูอาศัยอยู่
“ข้าฝากทางนี้ด้วย”
“นั่นเจ้าจะไปไหน?” หลิวเหล่ายี่ตะโกนถามเมื่ออีกฝ่ายพุ่งตัวไปอย่างเร็ว
“ข้ารู้ รีบจัดการเก็บนี่ให้เรียบร้อยแล้วตามเขาไปเถอะ”
เซียวหมิงเฟิ่งตอบแทนก่อนที่จะจัดการทองที่กองอยู่กับพื้น
เสียงเคาะโมงยามในฤดูใบไม้ร่วงในเวลานี้ดูเหมือนว่าคงไม่ต้องเตือนผู้ใด ชาวบ้านในละแวกนั้นต่างพากันวิ่งหอบหิ้วน้ำกันคนละถังสองถัง สาดใส่เข้ายังโรงเรือนสามชั้นที่มีไฟรุกโชนและไม่มีทีท่าว่าดับมอดง่ายๆ
"เร็วๆ ช่วยกันหน่อย ไฟลุกใหญ่แล้ว" ผู้ดูแลโรงเรือนแห่งนี้เหงื่อท่วมตัวด้วยความร้อนจากเปลวเพลิงและวิ่งหอบน้ำมาช่วยกันเผา
"พี่สุ่ย จับตัวคนร้ายได้แล้ว" ชายผู้หนึ่งวิ่งมารายงานพร้อมชี้ไปทางด้านที่เขาวิ่งมา อาสุ่ยผู้ดูแลบ่อนพยักหน้า ไม่ลืมกำชับให้คนช่วยกันดับไฟแม้จะไม่สามารถดับได้ทั้งหมดแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย และป้องกันไม่ให้ไฟลามไปยังโรงเรือนหลังอื่น
"เจ้าหน้าที่ของทางการมาหรือยัง" อาสุ่ยถามสีหน้าวิตกกังวล
"มาแล้วพี่ มาแล้ว" เสียงหวาดหวั่นกับภาพตรงหน้าเอ่ยตอบ
"เช่นนั้นไปเถอะ"ทั้งสองมุ่งตรงไปยังผู้ร้ายที่หาญกล้าวางเพลิงบ่อนแห่งนี้ เมื่อไปถึงเห็นชายรูปร่างผอมโซสองคน ในกายมีกลิ่นดินปืนจางๆ ไม่ผิดแน่ที่ชายทั้งสองจะเป็นผู้ลงมือเผา แต่ดูจากลักษณะท่าทางคนทั้งสองนี้ไม่น่าจะมีความแค้นใดๆ กับบ่อนแห่งนี้เป็นแน่
"ใครเป็นคนใช้พวกเจ้าทำเรื่องเลวทรามเช่นนี้" อาสุ่ยเอ่ยถาม น้ำเสียงแฝงความเกรี้ยวกราดแต่พยายามระงับโทสะอย่างถึงที่สุด คนทั้งสองก้มหน้าไม่ตอบคำใด ดูคล้ายกับว่าคำถามของอาสุ่ยไม่เข้าไปยังโสตประสาทของเขาเลย
เจ้าหน้าที่ที่กุมตัวไว้ ใช้เท้าถีบชายคนหนึ่ง "เขาถามไยเจ้าไม่ตอบ" ชายผู้นั้นล้มหน้าคะมำไปด้านหน้า แต่ก็ถูกกระชากกลับมาให้นั่งคุกเข่าดังเดิม ชายที่นั่งด้านข้างเกิดความกลัวร่างกายสั่นเทาจนเห็นได้ชัด ตะโกนออกมาจนทำให้ทุกคนแปลกใจ
"คุณชายหนิง หนิงไช่กวง ให้พวกข้าลอบวางเพลิง!"
'บัดซบ!' ฝ่ามือกำหมัด ฟันบนกัดลงฟันล่างดังกรอด คิดอยากจะเข้าไปเตะปากเจ้าตัวขี้ขลาดนัก เขานิ่งไปสักพักรอฟังว่าเจ้าหน้าที่จากทางการจะทำเช่นไร
"เจ้าบอกว่าเป็นคุณชายหนิงไช่กวง คนเช่นเจ้ารู้จักเขาหรืออย่างไร? " คำถามนี้ทำให้หนิงไช่กวงที่แอบฟังพยักหน้ารับ ในใจเอ่ยชมเจ้าหน้าที่คนนั้นยิ่ง
ใช่! เจ้าขยะพวกนั้นย่อมรู้จักคุณชายหนิงไช่กวง ทายาทผู้สืบทอดกิจการโรงทอผ้าที่ใหญ่และเลื่องชื่อ แต่พวกนั้นไม่รู้แน่ว่าเขาเป็นผู้จ้างวาน เพราะเขากำชับคนของเขาที่ไว้ใจได้ไปจ้างวานผู้อื่นทำงานนี้อีกทอดหนึ่ง และต้องจ้างกันหลายทอดเพื่อมิให้เรื่องนี้สาวถึงตัวเขาโดยเด็ดขาด ตัวผู้จ้างวานเป็นไปไม่ได้ที่จะสาวถึงตัวเขาได้เร็ว
เสียงฝีเท้าหนักประมาณสองสามคนเดินตรงไปยังอาสุ่ย
หนิงไช่กวงเห็นชัดว่าผู้มาใหม่เป็นใคร เขาจึงถอยหลังหมายจะหลบหนี ทว่าขาข้างหนึ่งของหนิงไช่กวงที่ก้าวถอยหลังเพื่อปิดบังตนเองพลาดเหยียบบางสิ่ง จนทำให้เกิดเสียง "นั่นใคร? " เสียงบุรุษหนึ่งดังไม่ไกลจากเขานัก ทำให้หนิงไช่กวงตกใจ รีบวิ่งเข้าตรอกหลบในมุมมืดที่คิดว่าใครจะมองไม่เห็น 'มารดาเถอะ' เขาลอบบ่นในใจพร้อมซ่อนตัว
สายตาคมกริบเห็นเงาลางๆ จากมุมมืด แต่เขาไม่ก้าวเท้าเข้าไปดู ทำเพียงเอ่ยเสียงเย็น หมายให้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดได้ยิน
"เฟิ่งไห่ จับตัวชายผู้นั้นส่งทางการ ข้าว่าคนบงการที่แท้จริงสั่งให้สองคนนั้นกระทำเรื่องชั่วช้าไม่ได้อยู่ไกลนัก แต่คอยแอบฟังอยู่ในตรอกนี้เป็นแน่"
"ขอรับนายท่าน" เขาสั่งการกับเฟิ่งไห่เรียบร้อย ทั้งเขาและพวกที่เพิ่งเดินเข้ามาสมทบก็ออกจากที่ตรงนั้น ปล่อยให้เฟิ่งไห่ทำงานได้สะดวก
หนิงเหนียนอานได้รับข่าวของบุตรชายเพียงคนเดียว นางแทบลมจับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือจะมีใครป้ายความผิดให้กับเขากันแน่ ทั้งชีวิตนางไม่เคยเดินเข้าเหยียบเข้าคุกของทางการ กลิ่นอับตีเข้าที่จมูก แม้จะพยายามกั้นหายใจทว่ากลิ่นก็มิได้เจือจาง ผ้าแพรเนื้อดีถูกสตรีร่างอวบยกขึ้นมาปิดจมูก นึกสงสารบุตรชายเพียงคนเดียวที่มิเคยต้องตกระกำลำบาก บิดาของหนิงไช่กวงเสียไปตั้งแต่เขาอายุได้สิบปี ดีที่เขายังทิ้งสมบัติและกิจการให้นางดูแลบ้าง แต่หาใช่ทั้งหมดเพราะกิจการผ้าแพรยังต้องให้คนสกุลหนิงดูแลและตรวจสอบอยู่เนืองๆ
"ไช่กวง!" เสียงเรียบ เยือกเย็นดวงตาจับจ้องไปยังบุตรชายที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเศษฝุ่นและฟางหญ้า
"ท่านแม่!" หนิงไช่กวงกุลีกุจอยืนขึ้น วิ่งเข้าหามารดาที่ยืนอยู่หน้ากรงเหล็ก "ท่านแม่ช่วยข้าออกไปนะ พวกมันโยนความผิดให้กับข้า"
"โยนความผิด? เหตุใดถึงโยนความผิดให้กับเจ้า? "
"เอ่อ...คือ" นางยืนรอฟังคำของบุตรชายที่อ้ำอึ้ง "ว่าไง!"นางตวาดใส่เพราะโกรธระคนหวาดหวั่น เห็นบุตรชายมองไปทางหนึ่ง นางหันหน้าไปมองเห็นผู้คุมชำเลืองมองมาทางพวกตน นางจึงเบาเสียง
"เจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น"
"คือข้า...ข้าติดหนี้บ่อน ละ...แล้วไม่สามารถนำเงินไปคืนได้" หนิงเหนียนอานหน้าดำหน้าแดงสลับกันด้วยเพลิงโทสะ บุตรชายที่นางทะนุถนอมเลี้ยงดูกลับอกตัญญู ไปช่วยทำมาหากินยังหาหนี้สินและก่อคดีจนเป็นที่อับอาย
"เจ้า! เจ้าลูกทรพี" นางไม่รู้จะหาคำใดมาต่อว่าเขา เพราะชายที่อยู่หลังลูกกรงคือบุตรชายของนาง เพราะนางตบตีบุตรชายเฉกเช่นอยู่ในจวนไม่ได้ นางทำได้เพียงกำหมัดแน่นและสะบัดหน้าเดินออกไป
"ท่านแม่! ท่านแม่" เขาตะโกนร้องเรียกแต่นางก็ไม่หันมามองอีก เขารู้ว่ามารดาโกรธเขาเข้าให้จริงๆ นอกจากติดหนี้แล้วเขายังไม่ได้บอกว่าสมบัติในห้องของมารดา เขาหยิบยืมมาหลายชิ้นเพื่อไปแลกเงินในการเข้าบ่อน
หนิงเหนียนอานกลับถึงจวนด้วยหัวใจระทม บุตรชายเหลวไหลถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ยิ่งคิดนางก็ยิ่งแค้น จู่ๆ นางนึกถึงบางสิ่งได้ รีบไปยังหัวเตียงดึงลิ้นชักและคว้ากุญแจดอกหนึ่ง เดินหน้าไปห้องหนึ่งเพื่อนำกุญแจดอกนั้นไขเข้าไปด้านใน
หีบเพชรพลอยหลายหีบยังอยู่ครบ ทว่าความโล่งอกยังไม่ทันจางหายก็ถูกความโกรธเข้าครอบงำอีกครั้ง เมื่อนางลองเปิดหีบหนึ่งที่ไม่ไกลจากมือ แม้จะไม่หมดแต่ก็หายไปเกือบครึ่ง
"เจ้าลูกชั่ว ลูกเลว ทำกับข้าได้" เสียงกรีดร้องดังพร้อมเสียงปล่อยโฮทำให้สาวใช้ข้างกายวิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์ แต่ถูกนางไล่ตะเพิดออกมา