ร้านอาหารญี่ปุ่นในห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางกรุงเทพมหานครตกแต่งอย่างพิถีพิถันด้วยสไตล์ญี่ปุ่น ทั้งเฟอร์นิเจอร์และโต๊ะอาหารไม้สีครีมจัดวางอย่างเรียบร้อย เพื่อรองรับลูกค้าได้อย่างเหมาะสม แม้จะมีโต๊ะมากมาย แต่ช่วงเวลาประมาณเที่ยงวัน ร้านก็แทบไม่เหลือที่ว่าง เพราะเต็มไปด้วยลูกค้าหลายกลุ่มที่แวะเวียนเข้ามา
หนึ่งในลูกค้าเหล่านั้นคือสองเพื่อนซี้ที่นั่งอยู่ในมุมหนึ่งของร้าน พวกเธอกำลังเพลิดเพลินกับมื้อเที่ยงอันแสนอร่อย พร้อมสนทนากันอย่างออกรสไม่แพ้รสชาติของอาหารตรงหน้าของพวกเธอเลย
“หายหน้าหายตาไปเลยนะช่วงนี้ กว่าจะออกมาเที่ยวด้วยกันได้ฉันแทบจะจุดธูปเรียกอัญเชิญออกมา” ดรัลพรพูดขำๆ มองฐานิตาที่นั่งอยู่ตรงข้ามเหมือนน้อยใจ ที่เพื่อนรักห่างหายหน้าไปนาน
“คบเพื่อนเป็นอินโทเวิร์ตก็งี้แหละ” ฐานิตาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ยักไหล่เบา ๆ ประกอบคำพูด
“อินโทเวิร์ต? ทำกับข้าวขายจนหัวฟูล่ะสิไม่ว่า เห็นรับออเดอร์แทบไม่เว้นวัน” ดรัลพรแซว เธอรู้ว่าเพื่อนเป็นคนขยัน มีอาชีพเสริมหลายทางนอกเหนือจากอาชีพเด็กเอ็นที่ทำอยู่
“ทำไงได้อะ ชีวิตมันต้องขับเคลื่อนด้วยมันนี่” ฐานิตาตอบ เธอยิ้มกว้างขำ ๆ แต่ทำให้ดรัลพรต้องเบะปาก
“ทำเป็นพูดดี ขับเคลื่อนด้วยมันนี่? ชีวิตไม่สิ้นเพราะมันนี่ก็บุญเท่าไหร่แล้วคะคุณแยม” ดรัลพรพูดประชด ในขณะที่สีหน้าและแววตาเปลี่ยนเป็นจริงจัง ก่อนจะถามฐานิตาในเรื่องที่เธอเคยเล่าให้ฟัง “ถามจริงนะ ตอนนั้นอะไรดลใจให้แกรับงานนั้นวะ”
“เงินไง...เขาเงินถึง” ฐานิตาตอบพร้อมกับคีบซูชิเข้าปากอย่างผ่อนคลาย
“ชัดเจนดี...” ดรัลพรถอนหายใจเบา ๆ เธอปลงกับคำตอบของฐานิตาแต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ “แต่แกไม่คิดบ้างเหรอ ว่ามันอาจได้ไม่คุ้มเสียเอาอะ?”
“ก็คิด...แต่ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ฉันก็ไม่อยากจะหาเงินด้วยวิธีแบบนั้นหรอกนะ หวาน” ฐานิตาวางตะเกียบลงและพูดอย่างจริงจัง ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง เงยหน้ามองดรัลพร พร้อมกับพูดต่อพยายามทำให้เพื่อนสบายใจ “แต่เอาเถอะเรื่องมันก็ผ่านมาสักพักแล้ว ไม่มีอะไรแล้วแหละ ไม่ต้องคิดมาก”
“สาธุ! ขอให้เป็นไปตามที่พูดก็แล้วกัน” ดรัลพรพูดยิ้ม ๆ เธอรู้ว่าฐานิตาไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ เลยปรับบทสนทนาให้แฝงความขบขันเล็กน้อย แม้จะเป็นความตลกที่ดูจะ...ตลกร้ายก็ตาม
“แล้วแม่แกเป็นไงบ้างอะ? เขาได้ถามถึงแกบ้างปะ” ดรัลพรถาม
“หึ เขาไม่มาสนใจฉันหรอก วัน ๆ ห่วงแต่คนอื่น” ฐานิตาหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับตอบคำถาม เมื่อนึกถึงแม่ของเธอที่แรก ๆ ก็ขยันโทรมาต่อว่าไม่ขาด แต่พอผ่านไปสักพักก็ไม่ได้สนใจอะไร หายเข้ากลีบเมฆไปเฉย ๆ เดือดร้อนทีถึงค่อยโผล่เข้ามาในชีวิตของฐานิตาที
เป็นแบบนี้ทุกครั้ง ฐานิตาก็ไม่อยากใส่ใจ แต่มันก็ยากเกินไปเพราะยิ่งเธอพยายามที่จะละเลยความรู้สึกของตัวเองมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกมากเท่านั้น...จนรำคาญตัวเองเป็นแทบจะบ้า
“จะกลับเลยไหม? เดี๋ยวฉันจะได้ไปส่ง” ดรัลพรถามหลังจากที่ทั้งสองเพิ่งเดินออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นได้ไม่กี่ก้าว
“ยังไม่กลับหรอก” ฐานิตาตอบพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ “กลับไปก็ไม่รู้จะทำอะไรอยู่ดี”
“ไม่อยากจะเชื่อ! คนอย่างแกเนี่ยนะไม่รู้จะทำอะไร แหม สาวแยมเราเบื่อบ้านซะแล้ว” ดรัลพรพูดเสียงสูง แสร้งทำเป็นตกใจ
“ไม่ใช่แค่บ้านที่ฉันเบื่อนะ เอาจริงๆ หน้าแกฉันก็เบื่อเหมือนกัน” ฐานิตาเอ่ย พร้อมกับเบะปากและกระแทกลมหายใจออกมาเบา ๆ
“เอ้า! เบื่อกันซะละ ใช่ซี้ เรามันหมดประโยชน์แล้วนี่” ดรัลพรแกล้งแซวด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนัก แต่ทำให้รู้สึกกวนเบื้องล่าง
“อย่าเรียกว่าหมดประโยชน์สิหวาน” ฐานิตาตอบเสียงหวาน พร้อมกับยิ้มให้เพื่อนด้วยดวงตาที่เปล่งประกายเหมือนลูกหมาตัวน้อย ๆ แต่ก็มีความยียวนไม่แพ้กัน “ต้องถามว่าแกมีประโยชน์อะไรมากกว่าถึงจะถูก”
“โอ้โห สิ้นแล้วสินะความดีความชอบที่เคยทำมา ไม่มีค่าในสายตาแยมเลย...ให้ตาย” ดรัลพรพูดขำ ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ พูดเล่นหน่า ฮะ ชะ...เชี่ย” ฐานิตาหัวเราะร่วน ก่อนที่จู่ ๆ จะพ่นคำหยาบออกเฉย ๆ
“หยาบคาย!” ดรัลพรหุบยิ้มทันที หันไปหาฐานิตาที่เพิ่งพ่นคำหยาบออกมาอย่างไม่คาดคิด
“เวรแล้วไง...หวานไปทางนู้นกันดีกว่า” ฐานิตาพูดพร้อมกับจับมือดรัลพรเบา ๆ เหมือนจะรีบเดินหนี
“อะไรของแกแยม แยม...เป็นไรเนี่ย?” ดรัลพรถามอย่างงุนงง แต่ฐานิตาไม่ตอบ เธอดึงมือดรัลพรให้เดินตามด้วยท่าทางรีบร้อน ราวกับกำลังหนีจากบางสิ่งที่เธอเผลอสบตากับมันเมื่อครู่
‘ขอร้องล่ะ อย่าจำกันได้เลย...ได้โปรด’ ฐานิตาภาวนาในใจ แต่คำขอกลับไม่เป็นผล
“นี่เธอ!” เสียงเรียกดังไล่หลัง ทำให้ฐานิตาหน้าซีด แต่เธอยังคงเดินต่ออย่างรวดเร็ว
“ยัยเด็กนี่! จะหยุดคุยกับดี ๆ หรือว่าต้องให้ฉันป่าวประกาศว่าเธอทำเรื่องอะไรไว้บ้างน่ะฮะ!” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ผู้คนเริ่มสนใจหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้น
สุดท้ายฐานิตาก็ต้องหยุดชะงัก หัวใจเต้นรัว ก่อนจะปล่อยมือดรัลพรและสูดลมหายใจลึก และค่อย ๆ หันไปเผชิญหน้ากับหญิงวัยกลางคนที่ตามหลังมา
“สวัสดีค่ะคุณแม่” ฐานิตายกมือไหว้และกล่าวทักทายด้วยความนอบน้อม แต่หญิงสาวตรงหน้าไม่ยิ้มตอบเลย
“ใครแม่เธอไม่ทราบ” กรรณิการ์พูดอย่างเย้ยหยัน
“.....” ฐานิตายิ้มแหย ๆ เมื่อถูกตอกกลับ แต่ยังฝืนยิ้มให้เป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
“คุณทินนี่ไงคะ ผู้หญิงที่ลูกชายคุณมันแอบซุกเอาไว้” กรรณิการ์บอกทินกร สามีของเธอด้วยน้ำเสียงกระแนะกระแหน พร้อมตวัดตามองฐานิตาด้วยความรังเกียจ
“อ้าว! หนูคนนี้น่ะเหรอ” ทินกรแสดงความประหลาดใจออกทางสีหน้า
“ก็คนนี้ล่ะค่ะ ที่เจ้าติณมันบอกว่ารับผิดชอบ”
“อืม ผมว่าก็หน้าตาสะสวยดีนี่คุณ ไม่ดีหรือไง...ได้มาเป็นลูกสะใภ้ แถมลูกเราก็ยังหามาเองไม่ต้องเหนื่อยคุณด้วย” ทินกรพูดพร้อมมองฐานิตาด้วยความแปลกใจ แต่ก็มีประกายของความเอ็นดูให้เห็น
“คุณทินก็พูดง่ายนี้คะ ที่ทุกวันนี้ฉันมองหน้าคุณอัญไม่ติดก็เพราะใครล่ะ” กรรณิการ์พูดด้วยสายตาดูถูก แต่ประโยคถัดไปกลับทำให้ทั้งฐานิตาและดรัลพรต่างตกใจอย่างคาดไม่ถึง
“แต่ไม่เป็นไรค่ะ ถึงแม้ว่าลูกชายเราจะไปคว้าอะไรมาก็ไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าเป็นเกย์จนไม่มีเมียมาสืบสกุลล่ะนะ”
“เมียสืบสกุล!” ดรัลพรตกใจจนเผลอส่งเสียงออกไป ทำให้ทุกสายตาหันมามอง เว้นแต่ฐานิตาที่ยืนหน้าถอดสี เหมือนการรับรู้บกพร่องต้องถามซ้ำอีกรอบ
“คุณ...ว่ายังไงนะคะ” ฐานิตาถามเสียงอ่อน ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจ
“ก็เธอได้เสียกับลูกชายของฉันแล้วไม่ใช่หรือไง”
“เอ่อ...คือว่า” ฐานิตาอึกอัก เธอไม่กล้าปฏิเสธตามตรงว่า ความจริงแล้วเธอไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับลูกชายของกรรณิการ์เลย เรื่องวันนั้นมันก็แค่ละครฉากหนึ่ง...
“คือว่าอะไร? หรือเธอจะบอกฉันว่าวันนั้นเธอไม่ได้เป็นคนพูดเองว่าติณได้เธอแล้วน่ะ”
“เปล่าค่ะ! ไม่ใช่” ใช่เธอพูดจริง...แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นจริงไง
“ก็ดี ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ แล้วลูกชายฉันก็เป็นคนบอกว่าจะรับผิดชอบเธอเอง ฉันก็จะอนุญาตให้เธอกับลูกชายฉันจัดการทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องซะ”
“ยังไงคะ” ฐานิตาถามเสียงอ่อน
“จะยังไงล่ะ! ก็แต่งงานกันไง”
“อะไรนะคะ!/แต่งงาน!” ฐานิตาและดรัลพรอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ
“ใช่...แต่งงานกับลูกชายฉันซะ อีกอย่างฉันก็ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นแม่ผัวใจร้ายที่ขัดความรักของลูกตัวเอง”
ฐานิตาอยากตะโกนบอกว่ามันไม่ใช่แบบนั้น แต่ตอนนี้เธอไม่รู้จะพูดอะไร คำพูดจุกอยู่ในลำคอ หัวใจเธอรู้สึกเหมือนจะหยุดเต้น ความคิดถึงจุดจบที่ไม่คาดคิดนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนโลกกำลังพังทลาย นี่ยังไม่รู้ว่า ติณณภพอดีตลูกค้าเงินหนาของเธอรู้เรื่องนี้บ้างแล้วหรือยัง
แต่ที่แน่ ๆ ฐานิตาไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าเรื่องมันจะบานปลายจนกลายมาเป็นแบบนี้ จากที่คิดว่าคงไม่มีอะไรแต่กลับมีอะไร ฐานิตาไม่ได้คาดฝันอยากให้มันเป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ...